NỘI DUNG TÓM TẮT
วิธีใช้ If
การใช้ if ในการควบคุมหรือแสดงผลระหว่างการทำงานเป็นสิ่งสำคัญที่ใดที่หนึ่งในการเขียนโปรแกรมหรือการทำงานทางคอมพิวเตอร์ นี่คือวิธีการใช้ if และสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการใช้มันในระดับมืออาชีพ
1. การแสดงผลของตัวเลือกเงื่อนไข if:
การใช้ if เป็นวิธีหนึ่งในการดำเนินการทางตรรกะ เพื่อตรวจสอบว่าเงื่อนไขที่กำหนดเป็นจริงหรือเท็จ ดังนั้นจะมีการควบคุมการทำงานในรูปแบบของเงื่อนไขแบบ ถ้า-ถ้าเท่านั้น (if-then)
เราสามารถใช้ if และ else เพื่อแสดงผลผลลัพธ์ที่ต่างกันออกไปในเงื่อนไขที่เป็นจริงและเงื่อนไขที่เป็นเท็จตามลำดับ
ตัวอย่างเช่น
“`
if condition:
statement1
else:
statement2
“`
การทำงานของโค้ดนี้คือหากเงื่อนไข condition เป็นจริงจะทำคำสั่งในบล็อค statement1 หาก condition เป็นเท็จคำสั่งในบล็อค statement2 จะถูกทำทันที
2. การใช้ if statement ในการทำงานกับข้อมูลประเภทต่าง ๆ
if statement ไม่เพียงแต่ใช้กับข้อมูลประเภทตัวเลขเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้กับข้อมูลประเภทอื่น ๆ เช่น ข้อความ รายการ และอื่น ๆ ด้วย
ตัวอย่าง:
“`
name = “John”
if name == “John”:
print(“Hello, John!”)
else:
print(“Hello, stranger!”)
“`
ในที่นี้ เราใช้ if statement เพื่อตรวจสอบว่าค่าของตัวแปร name เท่ากับ “John” หากเป็นจริง เราจะพิมพ์ “Hello, John!” หากไม่เป็นจริง เราจะพิมพ์ “Hello, stranger!”
3. การตรวจสอบเงื่อนไขทางตรรกะใน if statement
เงื่อนไขทางตรรกะมีความสำคัญสูงต่อการใช้ if statement เงื่อนไขทางตรรกะที่เราสามารถใช้ได้ประกอบไปด้วยเครื่องหมายเปรียบเทียบที่ใช้ในการตรวจสอบความเท่ากัน ความสูง ความต่ำ และอื่น ๆ
ตัวอย่าง:
“`
x = 10
if x > 5:
print(“x is greater than 5”)
else:
print(“x is not greater than 5”)
“`
ในที่นี้ เงื่อนไขทางตรรกะ x > 5 ถูกใช้ในการตรวจสอบว่าตัวแปร x มีค่ามากกว่า 5 หากเป็นจริง เราจะพิมพ์ “x is greater than 5” หากไม่เป็นจริง เราจะพิมพ์ “x is not greater than 5”
4. การใช้ if-else statement เพื่อแสดงผลตามเงื่อนไข
if-else statement ใช้เมื่อเราต้องการแสดงผลต่างกันตามเงื่อนไขที่เป็นไปได้สองประเภท
ตัวอย่าง:
“`
x = 5
if x > 10:
print(“x is greater than 10”)
else:
print(“x is less than or equal to 10”)
“`
ในที่นี้ เราใช้ if-else statement เพื่อตรวจสอบว่าค่าของตัวแปร x มีค่ามากกว่า 10 หากเป็นจริง เราจะพิมพ์ “x is greater than 10” หากไม่เป็นจริง เราจะพิมพ์ “x is less than or equal to 10”
5. วิธีการใช้ if-elif-else statement เพื่อแสดงผลตามเงื่อนไขต่าง ๆ
if-elif-else statement ใช้เมื่อเราต้องการแสดงผลตามเงื่อนไขที่เป็นไปได้หลายประเภท ซึ่งเราสามารถกำหนดเงื่อนไขใน elif มากกว่าหนึ่งเงื่อนไขได้
ตัวอย่าง:
“`
x = 5
if x > 10:
print(“x is greater than 10”)
elif x > 5:
print(“x is greater than 5 but not greater than 10”)
else:
print(“x is less than or equal to 5”)
“`
ในที่นี้ เราใช้ if-elif-else statement เพื่อตรวจสอบว่าค่าของตัวแปร x มีค่ามากกว่า 10 หรือไม่ หากเป็นจริงเราจะพิมพ์ “x is greater than 10” หากไม่ เราจะตรวจสอบเงื่อนไขใน elif ถัดไป และหากเงื่อนไขนั้นเป็นจริง เราจะพิมพ์ “x is greater than 5 but not greater than 10” หากไม่เป็นจริงเราจะพิมพ์ “x is less than or equal to 5”
6. การทำงานร่วมกับลูปใน if statement
ลูปสามารถใช้ร่วมกับ if statement เพื่อควบคุมการทำงานตามเงื่อนไขและทำซ้ำด้วยกันได้
ตัวอย่าง:
“`
numbers = [1, 2, 3, 4, 5]
for num in numbers:
if num % 2 == 0:
print(num, “is even”)
else:
print(num, “is odd”)
“`
ในที่นี้ เราใช้ลูป for เพื่อสร้างการทำงานที่ซ้ำกับตัวแปร num ในรายการ numbers เราใช้ if statement เพื่อตรวจสอบว่าเลข num เป็นเลขคู่หรือเลขคี่ และแสดงผลตามเงื่อนไข
7. การใช้เงื่อนไขประกอบกับตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ใน if statement
เราสามารถใช้เงื่อนไขประกอบกับตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์เพื่อดำเนินการหลายอย่างพร้อมกันใน if statement
ตัวอย่าง:
“`
x = 5
y = 10
if x > 0 and y > 0:
print(“Both x and y are positive”)
else:
print(“At least one of x and y is not positive”)
“`
ในที่นี้ เราใช้เงื่อนไขทางตรรกะ x > 0 and y > 0 เพื่อตรวจสอบว่าทั้ง x และ y เป็นจำนวนเต็มบวกหากเงื่อนไขนี้เป็นจริง เราจะพิมพ์ “Both x and y are positive” หากไม่เป็นจริง เราจะพิมพ์ “At least one of x and y is not positive”
8. การใช้ตัวดำเนินการทางตรรกะแบบสั้นหน้าใน if statement
Python มีตัวดำเนินการทางตรรกะแบบสั้นหน้า (short-circuit operators) ที่จะทำงานเพียงสำหรับส่วนที่จำเป็นเท่านั้น โดยไม่ต้องตรวจสอบส่วนที่เหลือเมื่อไม่จำเป็น
ตัวอย่าง:
“`
x = 5
if x > 0 or x < 10: print("x is positive or less than 10") else: print("x is neither positive nor less than 10") ``` ในที่นี้ เราใช้ตัวดำเนินการทางตรรกะแบบสั้นหน้า or เพื่อตรวจสอบว่า x เป็นจำนวนเต็มบวกหรือเลขที่น้อยกว่า 10 (ส่วนมาก เหมือนกับเงื่อนไขที่แท้จริง) เมื่อเงื่อนไขเป็นจริง เราจะพิมพ์ "x is positive or less than 10" หากไม่เป็นจริง เราจะพิมพ์ "x is neither positive nor less than 10" 9. การใช้ if statement เชื่อมต่อกับฟังก์ชันและการเรียกใช้งานฟังก์ชัน if statement สามารถใช้เชื่อมต่อกับฟังก์ชันและการเรียกใช้งานฟังก์ชันได้ ซึ่งช่วยให้เราสามารถทำงานที่ซับซ้อนขึ้นกับข้อมูลเพิ่มเติมได้ ตัวอย่าง: ``` def is_even(num): if num % 2 == 0: return True else: return False print(is_even(4)) ``` ในที่นี้ เราได้กำหนดฟังก์ชัน is_even ที่ใช้ if statement เพื่อตรวจสอบว่าตัวเลข num เป็นเลขคู่หรือไม่ ถ้าเป็นจริง เราจะส่งค่า True หากไม่เป็นจริง เราจะส่งค่า False ในตัวอย่างนี้ เราเรียกใช้ฟังก์ชัน is_even(4) และพิมพ์ผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งคือ True FAQs: Q: การใช้ if excel หลายเงื่อนไขหมายความว่าอะไร? A: การใช้ if excel หลายเงื่อนไ
Excel If Function การใช้ If Excel หลายเงื่อนไข
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: วิธีใช้ if การใช้ if excel หลายเงื่อนไข, การใช้สูตร if และ vlookup, สูตร IF Excel, สูตร excel if มากกว่าหรือเท่ากับ, สูตร excel if เปรียบเทียบข้อมูล, สูตร IF 2,เงื่อนไข, สูตร Excel IF ข้อความ, ฟังก์ชั่น if คือ
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ วิธีใช้ if
หมวดหมู่: Top 38 วิธีใช้ If
สูตร If Excel ใช้ยังไง
สูตร IF เป็นหนึ่งในฟังก์ชันที่สำคัญและมีความนิยมในโปรแกรม Excel ที่ยังคงนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ฟังก์ชันนี้สามารถช่วยเราในการดำเนินการทางต่างๆ ใน Excel ได้อย่างกว้างขวาง ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จัก สูตร IF Excel การใช้งานและเทคนิคที่สำคัญในการปรับใช้สูตร IF ใน Excel ของคุณอย่างถูกต้องและได้ผลสูงสุด
คำแนะนำสำหรับการใช้งานสูตร IF Excel:
1. ควรทราบแนวคิดพื้นฐานของสูตร IF: สูตร IF ใช้สำหรับการทำเงื่อนไข (condition) และการตัดสินใจ (decision) ในการปรับแต่งการทำงานใน Excel ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ IF เพื่อตัดสินใจว่าค่าที่ได้รับในเซลล์หนึ่ง อยู่ในช่วงระหว่าง A1 ถึง A10 หรือไม่ และแสดงผลลัพธ์ตามเงื่อนไขนั้น
2. ลองเล่นการใช้งานสูตร IF ใน Excel: ถึงแม้ว่าในตอนแรกคุณอาจรู้สูตร IF และคุณสมบัติพื้นฐานของมัน แต่การทดลองใช้งานจริงจะช่วยให้คุณเข้าใจอย่างแท้จริง เล่นการใช้งานสูตร IF ใน Excel โดยแก้ไขค่าและเงื่อนไขเพื่อเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
3. รู้จักวิธีการเขียนสูตร IF: สูตร IF ใน Excel ต้องประกอบด้วยเงื่อนไขที่ต้องเป็นจริง (true) และเงื่อนไขที่ต้องเป็นเท็จ (false) ดังนั้นรูปแบบทั่วไปของสูตร IF ใน Excel มีดังนี้ “IF(เงื่อนไขที่ต้องเป็นจริง, ผลลัพธ์เมื่อค่าเป็นจริง, ผลลัพธ์เมื่อค่าเป็นเท็จ)”
4. ใช้สูตร AND และ OR ในการอัพเกรดสูตร IF: การใช้งานสูตร IF ทั่วไปไม่สามารถประกอบด้วยเงื่อนไขที่ซับซ้อนได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่คุณสามารถอัพเกรดการใช้งานของสูตร IF ด้วยสูตร AND หรือ OR ซึ่งสามารถทำให้เงื่อนไขซับซ้อนมากขึ้น
ตัวอย่างการใช้งานสูตร IF Excel:
1. ใช้สูตร IF เพื่อตรวจสอบว่าค่าในเซลล์ A1 มากกว่า 10 หรือไม่ และคืนค่า “Pass” หากเป็นจริงและคืนค่า “Fail” หากไม่เป็นจริง:
=IF(A1>10, “Pass”, “Fail”)
2. ใช้สูตร IF เพื่อตรวจสอบว่าค่าในเซลล์ A1 มากกว่า 10 และค่าในเซลล์ B1 มากกว่า 5 หรือไม่ และคืนค่า “Pass” หากเงื่อนไขเป็นจริง:
=IF(AND(A1>10, B1>5), “Pass”, “Fail”)
3. ใช้สูตร IF เพื่อตรวจสอบว่าค่าในเซลล์ A1 มากกว่า 10 หรือค่าในเซลล์ B1 มากกว่า 5 หรือไม่ และคืนค่า “Pass” หากเงื่อนไขใดก็ได้เป็นจริง:
=IF(OR(A1>10, B1>5), “Pass”, “Fail”)
คำถามที่พบบ่อยสำหรับสูตร IF Excel:
คำถาม 1: วิธีการกำหนดหลายเงื่อนไขในสูตร IF ใน Excel คืออะไร?
ตอบ: คุณสามารถใช้คำสั่ง AND หรือ OR เพื่อกำหนดหลายเงื่อนไขในสูตร IF ใน Excel ดังตัวอย่างที่ 2 และ 3 ในส่วนตัวอย่างการใช้งานสูตร
คำถาม 2: สูตร IF ช่วยในการดำเนินการด้านพิเศษใดได้บน Excel?
ตอบ: สูตร IF ใช้ได้กับหลายฟังก์ชันมากมายใน Excel ทำให้คุณสามารถทำตัดสินใจการบูรณาการข้อมูล การคัดกรองข้อมูล การวัดความสอดคล้องของข้อมูล เป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้
คำถาม 3: สูตร IF สามารถใช้ผนวกกับฟังก์ชันอื่นใน Excel ได้หรือไม่?
ตอบ: ใช่ สูตร IF สามารถใช้งานร่วมกับฟังก์ชันอื่นใน Excel เพื่อการประมวลผลที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น SUM, AVERAGE, COUNT เป็นต้น
คำถาม 4: สูตร IF สามารถประยุกต์ใช้กับภายนอก Excel ได้หรือไม่?
ตอบ: สูตร IF อาจไม่สามารถใช้ได้กับภาษาอื่นนอกจาก Excel โดยตรง แต่หากคุณพบสถานการณ์ที่คุณต้องการใช้เงื่อนไขในการปรับแต่งข้อมูลอย่างหลากหลาย คุณสามารถใช้สูตร IF ในการนำเข้าหรือส่งออกข้อมูลได้
สรุป:
สูตร IF Excel เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการปรับแต่งข้อมูลใน Excel และมีความสามารถในการจัดการเงื่อนไขและการตัดสินใจในการประมวลผลข้อมูล หากคุณเริ่มต้นใช้ฟังก์ชันมาใช้งานเมื่อใดก็ตาม ความรู้ในสูตร IF นั้นจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการปรับใช้งาน Excel ของคุณให้มีประสิทธิภาพและวิสัยทัศน์
คำสั่ง If ใช้สำหรับทำอะไร
คำสั่ง if เป็นคำสั่งที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมการทำงานของโปรแกรมให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ โดยในกรณีที่เงื่อนไขที่กำหนดเป็นจริง (True) โปรแกรมจะทำงานตามคำสั่งที่ระบุไว้อยู่ภายใน if แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ (False) โปรแกรมจะข้ามคำสั่งนี้ไปเลย ดังนั้นคำสั่ง if เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้โปรแกรมมีการตรวจสอบสถานะของข้อมูล หรือเงื่อนไขการทำงานก่อนทำการประมวลผลต่อไป เพื่อให้โปรแกรมทำงานได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพอย่างมากขึ้น
คำสั่ง if มักจะถูกใช้ในการตรวจสอบค่าของตัวแปรหรือข้อมูลให้เป็นไปตามเงื่อนไขเพื่อทำงานซ้ำหรือทำงานแบบเลือกตามสถานะที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ต้องการแสดงข้อความ “Hello, World!” ในหน้าจอทุกครั้งที่เงื่อนไขที่กำหนดเป็นจริง คำสั่ง if มีประโยชน์มากๆ เนื่องจากสามารถทำให้โปรแกรมกระทำการตามแผนการที่ระบุไว้ ตามเงื่อนไขที่กำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้งานของคำสั่ง if
หน้าตาของคำสั่ง if นั้นจะมีรูปแบบที่เป็นที่นิยมคือ
if condition:
โครงสร้างแบบนี้สามารถอ่านว่า “ถ้าเงื่อนไขเป็นจริง ให้ทำตามคำสั่งที่ตามหลัง : ต่อไป” ตัวคำสั่งที่ตามหลัง : (คำนำหน้าบรรทัดใหม่) จะถูกทำงานก็ต่อเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดเป็นจริง หากคำสั่งที่ตามหลัง : มีเพียงบรรทัดเดียว เราสามารถไม่ต้องใช้ : และเว้นวรรคเช่นกันได้ แต่หากคำสั่งมีมากกว่าหรือไม่ใช่บรรทัดเดียว จะต้องใช้ : เพื่อกำหนดส่วนที่ต้องการให้เป็นไปตามเงื่อนไข
ตัวอย่างของการใช้คำสั่ง if
สำหรับกรณีภาษา Python เราจะทำการประกาศตัวแปร greeting และกำหนดค่าเริ่มต้นให้เป็น “Hello”
greeting = “Hello”
จากนั้น เราสามารถใช้คำสั่ง if เพื่อตรวจสอบค่าของตัวแปร greeting เพื่อทำงานตามสถานะที่กำหนดไว้
if greeting == “Hello”:
print(“Welcome!”)
else:
print(“Goodbye!”)
ในตัวอย่างด้านบน เงื่อนไขกำหนดไว้ว่า ถ้าตัวแปร greeting เป็น “Hello” ให้แสดงข้อความ “Welcome!” แต่ถ้าไม่ใช่ให้แสดงข้อความ “Goodbye!” สังเกตว่าในการเขียนการเงื่อนไข เราจำเป็นต้องใช้สัญลักษณ์เท่ากับ (==) เพื่อเปรียบเทียบค่าของตัวแปรกับค่าที่กำหนด
คำสั่ง if ในรูปแบบที่เราอธิบายไปแล้วนี้ ยังสามารถเพิ่มส่วนของเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ต้องการ ในรูปแบบของ elif ทำให้โค้ดดูง่ายและคงสภาพกว่าเวอร์ชันก่อนหน้านี้
ตัวอย่างเพิ่มเติมของการใช้คำสั่ง if
x = 5
if x > 10:
print(“x is greater than 10”)
elif x < 5:
print("x is less than 5")
else:
print("x is between 5 and 10")
ในตัวอย่างด้านบน เรากำหนดให้ค่า x เท่ากับ 5 ในคำสั่ง if เราใช้เงื่อนไข elif เพื่อตรวจสอบค่าของ x ว่ามากกว่า 10 หรือน้อยกว่า 5 และใช้คำสั่ง else เพื่อบอกว่า x อยู่ระหว่างค่า 5 ถึง 10
คำถามที่พบบ่อย
1. สามารถใช้คำสั่ง if ได้ในภาษาโปรแกรมอื่นๆ หรือไม่?
ใช่ คำสั่ง if เป็นคำสั่งพื้นฐานที่พบในหลายภาษาโปรแกรม เช่น Python, Java, C, C++, C#, Ruby, PHP, JavaScript, Swift, Kotlin, Go และอื่นๆ
2. สามารถใช้คำสั่ง if ในการทำภาษาที่เป็นวาฬได้หรือไม่?
ภาษาวาฬ (Whale language) เป็นภาษาที่ใช้สัญลักษณ์ของปลาวาฬในการสร้างโปรแกรม แต่สำหรับกรณีนี้ เป็นเรื่องขึ้นอยู่กับว่าชุดคำสั่งหรือระบบในภาษาที่ใช้แปลงวาฬได้มีประสิทธิภาพเพียงพอกับการใช้งานเพื่อการตรวจสอบสถานะหรือไม่
3. คำสั่ง else ใช้ทำอะไร?
คำสั่ง else ถูกใช้เมื่อเงื่อนไขที่ตรวจสอบโดยคำสั่ง if เป็นเท็จ ซึ่งแสดงถึงการกระทำหรือทำงานที่ควรทำเมื่อไม่ตรงกับเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน if คำสั่ง else เป็นทางเลือกที่อยู่หลังเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน if ซึ่งจะถูกทำงานก็ต่อเมื่อเงื่อนไขใน if เป็นเท็จ
4. คำสั่ง elif คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร?
คำสั่ง elif เป็นคำสั่งเพิ่มเติมที่เราใช้เมื่อต้องการตรวจสอบเงื่อนไขที่เพิ่มเติมหลังจากเงื่อนไขใน if แต่ก่อนส่วนของ else คำสั่ง elif จะถูกตรวจสอบเมื่อเงื่อนไขใน if เป็นเท็จ และสามารถเลือกทำงานตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ใน elif ได้ รูปแบบคำสั่ง elif สามารถทำให้โค้ดดูสั้นและอ่านง่ายขึ้นได้
ดูเพิ่มเติมที่นี่: themtraicay.com
การใช้ If Excel หลายเงื่อนไข
Microsoft Excel เป็นเครื่องมือที่มากีดกั้นในวงการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลและการคำนวณต่างๆ ด้วยฟังก์ชันต่างๆ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานที่มีความซับซ้อน ฟังก์ชัน if เป็นหนึ่งในฟังก์ชันที่นิยมใช้กันเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความสามารถในการประเมินเงื่อนไขและทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนดได้อย่างยืดหยุ่น
ในบทความนี้เราจะสอนคุณเกี่ยวกับการใช้ if excel หลายเงื่อนไขให้คุณได้ทราบถึงวิธีการใช้และบทความนี้จะประกอบไปด้วยส่วน FAQ เพื่อตอบคำถามที่พบบ่อยในการใช้งาน if excel หลายเงื่อนไข
ขั้นตอนการใช้งาน if excel หลายเงื่อนไข:
1. เปิดโปรแกรม Microsoft Excel และสร้างสูตรที่ต้องการประเมินเงื่อนไข
2. ใช้รูปแบบสูตร if ดังต่อไปนี้:
“`
=IF(condition1, value1, IF(condition2, value2, IF(condition3, value3, default_value)))
“`
โดยที่ condition คือเงื่อนไขที่ต้องการประเมิน และ value คือค่าที่ต้องการให้ผลลัพธ์เมื่อเงื่อนไขเป็นจริง ส่วน default_value คือค่าที่ต้องการให้ผลลัพธ์เมื่อไม่มีเงื่อนไขใดเป็นจริงทั้งหมด
เราสามารถกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ตามความต้องการ โดยใช้รูปแบบ if เพิ่มเติม ดังนี้:
“`
=IF(condition1, value1, IF(condition2, value2, IF(condition3, value3, …, valueN, default_value)))
“`
3. ป้อนเงื่อนไขและค่าที่ต้องการได้ตามความต้องการของคุณ แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อกำหนดสูตร
ตัวอย่างการใช้งาน if excel หลายเงื่อนไข:
เรามาดูตัวอย่างการใช้งาน if excel หลายเงื่อนไขที่เป็นไปได้ต่อไปนี้:
ตัวอย่างที่ 1: ในเซลล์ A1 มีค่าเป็น 50 และต้องการตรวจสอบว่า ถ้า A1 มีค่าน้อยกว่า 30 ให้แสดงคำว่า “น้อยกว่า 30” ถ้าไม่ใช่ให้ตรวจสอบว่า ถ้า A1 มีค่าน้อยกว่า 60 ให้แสดงคำว่า “น้อยกว่า 60” ถ้าไม่ใช่ให้แสดงคำว่า “มากกว่า 60”
“`
=IF(A1<30, "น้อยกว่า 30", IF(A1<60, "น้อยกว่า 60", "มากกว่า 60"))
```
ตัวอย่างที่ 2: ในเซลล์ A1 มีค่าเป็น "ชาย" หรือ "หญิง" และในเซลล์ B1 มีค่าเป็น 20 และต้องการตรวจสอบว่า ถ้า A1 เป็น "ชาย" และ B1 มีค่ามากกว่า 18 ให้แสดงคำว่า "ครบกว่า 18 ปี" ถ้าไม่ใช่ให้แสดงคำว่า "ไม่ครบกว่า 18 ปี"
```
=IF(AND(A1="ชาย", B1>18), “ครบกว่า 18 ปี”, “ไม่ครบกว่า 18 ปี”)
“`
ตัวอย่างที่ 3: ในเซลล์ A1 มีค่าเป็น 80 และในเซลล์ B1 มีค่าเป็น “A” และต้องการตรวจสอบว่า ถ้า A1 มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 90 และ B1 เป็น “A” ให้แสดงคำว่า “คะแนนดีมาก” ถ้าไม่ใช่ให้ตรวจสอบว่า ถ้า A1 มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 80 และ B1 เป็น “A” ให้แสดงคำว่า “คะแนนดี” ถ้าไม่ใช่ให้แสดงคำว่า “คะแนนปานกลาง”
“`
=IF(AND(A1>=90, B1=”A”), “คะแนนดีมาก”, IF(AND(A1>=80, B1=”A”), “คะแนนดี”, “คะแนนปานกลาง”))
“`
ตัวอย่างที่ 4: ในเซลล์ A1 มีค่าเป็น 65 และในเซลล์ B1 มีค่าเป็น 4 และต้องการตรวจสอบว่า ถ้า A1 มีค่าน้อยกว่า 50 และ B1 เท่ากับ 4 ให้แสดงคำว่า “ผ่าน” ถ้าไม่ใช่ให้แสดงคำว่า “ไม่ผ่าน”
“`
=IF(AND(A1<50, B1=4), "ผ่าน", "ไม่ผ่าน")
```
ตัวอย่างที่ 5: ในเซลล์ A1 มีค่าเป็น 10 และในเซลล์ B1 มีค่าเป็น "yes" และในเซลล์ C1 มีค่าเป็น "no" และต้องการตรวจสอบว่า ถ้า A1 มีค่าน้อยกว่า 20 และ B1 เป็น "yes" หรือ C1 เป็น "no" ให้แสดงคำว่า "ผ่าน" ถ้าไม่ใช่ให้แสดงคำว่า "ไม่ผ่าน"
```
=IF(AND(A1<20, OR(B1="yes", C1="no")), "ผ่าน", "ไม่ผ่าน")
```
หวังว่าตัวอย่างเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและใช้งาน if excel หลายเงื่อนไขได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
FAQs เกี่ยวกับการใช้ if excel หลายเงื่อนไข:
1. สามารถใช้เงื่อนไขได้หลายเงื่อนไขหรือไม่?
ใช่ สามารถใช้เงื่อนไขได้หลายเงื่อนไขต่อเนื่องกันในรูปแบบของ if เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขที่หลายรูปแบบในฟังก์ชันเดียวกัน
2. สามารถใช้เงื่อนไขแบบ OR หรือ AND ใน if excel ได้หรือไม่?
ใช่ เราสามารถใช้รูปแบบ if พร้อมกับ OR หรือ AND เพื่อทำให้เงื่อนไขที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ เช่น ใช้ AND เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขที่ต้องการทั้งหมดเป็นจริง หรือใช้ OR เพื่อตรวจสอบว่าเงื่อนไขใดเป็นจริงอย่างน้อยหนึ่ง
3. สามารถใช้ if excel หลายเงื่อนไขในการคำนวณผลลัพธ์ที่แตกต่างกันได้หรือไม่?
ใช่ เราสามารถกำหนดค่าผลลัพธ์ของ if excel ในแต่ละเงื่อนไขให้แตกต่างกันได้ตามต้องการ ซึ่งสามารถช่วยให้เราคำนวณผลลัพธ์ที่แตกต่างกันได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
4. สามารถใช้งาน if excel หลายเงื่อนไขร่วมกับฟังก์ชันอื่นๆ ได้หรือไม่?
ใช่ เราสามารถใช้งาน if excel หลายเงื่อนไขร่วมกับฟังก์ชันอื่นๆ ได้ เพื่อกระทำการคำนวณอื่นๆ หรือสร้างเงื่อนไขที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น ใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน SUMIF หรือ COUNTIF เพื่อรวมผลลัพธ์ที่ตรงกับเงื่อนไขที่กำหนดในระบบการคำนวณ
ในบทความนี้ เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้งานหลายเงื่อนไขใน if excel รวมถึงแนวทางในการประยุกต์ใช้งาน และส่วน FAQ เพื่อตอบคำถามที่บ่งบอกถึงปัญหาที่พบบ่อยในการใช้งาน if excel หลายเงื่อนไข ซึ่งสามารถใช้ในการปรับแก้ผลลัพธ์และโจทย์คำนวณที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ ทำให้การใช้งาน Excel กลายเป็นงานที่มีประสิทธิภาพและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
การใช้สูตร If และ Vlookup
การใช้สูตร if ในโปรแกรม Excel ช่วยให้เราสามารถทำการตรวจสอบเงื่อนไขและทำการคำนวณตามเงื่อนไขได้อย่างง่ายดาย โดยรูปแบบของสูตร if มีดังนี้:
=if(เงื่อนไข, ผลลัพธ์ในกรณีเป็นจริง, ผลลัพธ์ในกรณีเป็นเท็จ)
เมื่อมีการใช้สูตร if ในการประมวลผลข้อมูล เราสามารถกำหนดเงื่อนไขในการตรวจสอบข้อมูลและกำหนดผลลัพธ์ที่จะได้รับในกรณีที่เงื่อนไขเป็นจริง หรือไม่เป็นจริง ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการคำนวณเกรดของนักเรียนโดยกำหนดเงื่อนไขว่า ถ้าคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 80 ให้ได้เกรด A และถ้าไม่ใช่ให้ได้เกรด F สามารถใช้สูตร if ได้ดังนี้:
=if(คะแนน>=80, “A”, “F”)
สูตร if สามารถนำมาใช้ประยุกต์ได้หลากหลาย เช่น การตรวจสอบสถานะการชำระเงินของลูกค้า การคำนวณค่าเช่าช่วงราคาต่างๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนด เป็นต้น
อีกหนึ่งฟังก์ชันที่สำคัญและนิยมใช้ในการประมวลผลข้อมูลใน Excel คือ vlookup ซึ่งใช้ในการค้นหาและคืนค่าข้อมูลจากตารางหรือช่วงข้อมูลที่กำหนดให้ตรงกับค่าที่ต้องการ รูปแบบของสูตร vlookup มีดังนี้:
=vlookup(ค่าที่ต้องการค้นหา, เริ่มต้นของช่วงข้อมูล, คอลัมน์ในช่วงข้อมูลที่จะคืนค่า, ลักษณะการคืนค่า)
ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีตารางข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและราคา และต้องการค้นหาราคาของสินค้าที่ต้องการ สามารถใช้สูตร vlookup ได้ดังนี้:
=vlookup(สินค้าที่ต้องการค้นหา, เริ่มต้นของช่วงข้อมูล, ลำดับคอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับราคาของสินค้า, FALSE)
โดยสูตร vlookup จะคืนค่าที่ตรงกับคอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับราคาของสินค้าในกรณีที่ค้นหาเจอ และคืนค่า #N/A ในกรณีที่ไม่เจอค่าที่ค้นหา
การใช้สูตร if และ vlookup เข้าร่วมกันเป็นที่นิยม เนื่องจากสามารถประยุกต์ใช้ในการค้นหาและประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนได้โดยง่าย ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการคำนวณเกรดของนักเรียนโดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 80 และมีคะแนนครบทั้งหมด 5 วิชา ให้ได้เกรด A แต่ถ้าไม่ครบ 5 วิชาให้เกรด F โดยใช้สูตร if และ vlookup สามารถเขียนได้ดังนี้:
=if(vlookup(นักเรียน, เริ่มต้นของช่วงข้อมูล, ลำดับคอลัมน์ที่เกี่ยวข้องกับวิชาที่ไม่ได้ผ่าน, FALSE)>=80, “A”, “F”)
ด้วยรูปแบบการใช้สูตร if และ vlookup ใน Excel ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนลำดับการประมวลผลข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่น และให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
คำถามที่พบบ่อย (FAQs):
1. สูตร if และ vlookup ใช้ในกรณีใดบ้าง?
สูตร if และ vlookup ใช้ในการประมวลผลข้อมูลในโปรแกรม Excel โดยสูตร if เหมาะสำหรับใช้งานที่ต้องตรวจสอบเงื่อนไขและทำการคำนวณตามเงื่อนไขที่กำหนด ส่วนสูตร vlookup เหมาะสำหรับงานที่ต้องการค้นหาข้อมูลและคืนค่าข้อมูลในตารางหรือช่วงข้อมูลที่กำหนด
2. สูตร if และ vlookup มีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง?
สูตร if ใช้ในการประมวลผลข้อมูลโดยการทำงานกับเงื่อนไข โดยกำหนดผลลัพธ์ที่จะได้รับตามเงื่อนไขที่กำหนด ในขณะที่ vlookup ใช้ในการค้นหาและคืนค่าข้อมูลในตารางหรือช่วงข้อมูล โดยการเปรียบเทียบค่าที่ต้องการค้นหากับคอลัมน์ที่เกี่ยวข้อง
3. สูตร if และ vlookup สามารถใช้งานร่วมกันได้หรือไม่?
ใช้งานร่วมกันได้ โดยสามารถใช้สูตร vlookup ภายในสูตร if เพื่อค้นหาข้อมูลและใช้เงื่อนไขที่ได้ผลลัพธ์จาก vlookup ในการประมวลผลข้อมูล หรือใช้การเอา vlookup ใส่ภายในสูตร if เพื่อคืนค่าจากตารางหรือช่วงข้อมูลแล้วส่งต่อให้สูตร if ประมวลผลต่อไป
4. มีตัวอย่างการใช้สูตร if และ vlookup อื่น ๆ ไหม?
นอกจากตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว สูตร if และ vlookup ยังสามารถนำมาใช้ในการประมวลผลข้อมูลอื่น ๆ เช่น การคำนวณตามช่วงราคาที่กำหนด, การตรวจสอบสถานะการชำระเงิน, การคัดกรองข้อมูล เป็นต้น สามารถปรับใช้ตามความต้องการและเงื่อนไขของงานที่ต้องการ
ด้วยความสามารถในการค้นหาและประมวลผลข้อมูลที่สูง การใช้สูตร if และ vlookup เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้งาน Excel สามารถทำงานกับข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและง่ายดาย
สูตร If Excel
Excel เป็นเครื่องมือที่หลากหลายและรวดเร็วในการทำงาน ซึ่งสูตร IF เป็นหนึ่งในฟังก์ชันที่สำคัญและใช้บ่อยที่สุดใน Excel สูตรนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบเงื่อนไขและจัดการกับข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่น ในบทความนี้เราจะสำรวจถึงคุณสมบัติและวิธีการใช้งานสูตร IF ใน Excel อย่างละเอียดเพื่อช่วยให้คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้งาน Excel!
คุณสมบัติของสูตร IF ใน Excel
สูตร IF ใน Excel มีโครงสร้างพื้นฐานดังนี้:
=IF(เงื่อนไข, ค่าถ้าเงื่อนไขเป็นจริง, ค่าถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ)
สูตร IF ใช้เงื่อนไขเป็นพื้นฐานในการตรวจสอบความเป็นจริงหรือเท็จของข้อมูล หากเงื่อนไขเป็นจริง Excel จะคืนค่าที่ระบุในอาร์กิวเมนต์ที่สอง แต่หากเงื่อนไขเป็นเท็จ Excel จะคืนค่าที่ระบุในอาร์กิวเมนต์ที่สาม
ตัวอย่างการใช้งานสูตร IF ใน Excel
ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการตรวจสอบว่าค่าในเซลล์ A1 มีค่ามากกว่า 10 หรือไม่ และต้องการเขียนข้อความ “มากกว่า” หากเงื่อนไขเป็นจริง หรือเขียนข้อความ “น้อยกว่าหรือเท่ากับ” หากเงื่อนไขเป็นเท็จ เราสามารถใช้สูตร IF ต่อไปนี้:
=IF(A1>10,”มากกว่า”,”น้อยกว่าหรือเท่ากับ”)
ได้ผลลัพธ์ดังนี้:
– ถ้าค่าในเซลล์ A1 มากกว่า 10 จะแสดงคำว่า “มากกว่า”
– ถ้าค่าในเซลล์ A1 เป็น 10 หรือน้อยกว่านั้น จะแสดงคำว่า “น้อยกว่าหรือเท่ากับ”
การใช้งานฟังก์ชันบนสูตร IF
นอกจากการตรวจสอบความเป็นจริงหรือเท็จของข้อมูล สูตร IF ยังสามารถใช้งานร่วมกับฟังก์ชันอื่น ๆ ใน Excel ได้อีกด้วย เช่น SUM, AVERAGE, MAX และอื่น ๆ
ตัวอย่างการใช้งานสูตร IF ร่วมกับ SUM และ AVERAGE:
ในกรณีที่เราต้องการหาผลรวมของข้อมูลในช่วง A1 ถึง A5 ภายใต้เงื่อนไขที่ค่าในเซลล์ B1 เป็น “อายุมากกว่า 30″ เราสามารถใช้สูตร IF ร่วมกับ SUM และ AND ดังนี้:
=SUM(IF(B1=”อายุมากกว่า 30”, A1:A5, 0))
ในตัวอย่างนี้ สูตร IF จะเปรียบเทียบค่าในเซลล์ B1 ว่าเป็น “อายุมากกว่า 30″ หากผลลัพธ์เป็นจริง จะแสดงผลรวมของข้อมูลในช่วง A1 ถึง A5 มิเช่นนั้นจะส่งค่าศูนย์
เรายังสามารถใช้ฟังก์ชัน AVERAGE แทน SUM เพื่อหาค่าเฉลี่ยของข้อมูลในช่วงเดียวกันได้ด้วย แทนที่จะใช้สูตรเดียวกับที่กล่าวมา ในบรรทัดล่างนี้:
=AVERAGE(IF(B1=”อายุมากกว่า 30”, A1:A5, 0))
ถามในบางครั้ง: สูตร IF สามารถมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนได้หรือไม่?
ใช่! สูตร IF ใน Excel สามารถมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนได้ โดยการใช้ AND, OR หรือ NOT เพื่อรวมประโยคเงื่อนไขหลายอย่างเข้าด้วยกัน
ตัวอย่างการใช้งานสูตร IF ที่ซับซ้อน:
สมมุติว่าเราต้องการตรวจสอบค่าในเซลล์ A1 ว่าถูกต้องหรือไม่เช่นกันการตรวจสอบนี้จะต้องมีเงื่อนไขดังนี้:
– ค่าในเซลล์ A1 ต้องไม่น้อยกว่า 10
– และค่าในเซลล์ A1 ต้องไม่มากกว่า 20
– และค่าในเซลล์ A1 ต้องไม่เป็นเลขคี่
สามารถใช้สูตร IF ที่ซับซ้อนเพื่อสร้างเงื่อนไขดังกล่าวได้ดังนี้:
=IF(AND(A1>=10, A1<=20, MOD(A1,2)=0), "ถูกต้อง", "ไม่ถูกต้อง") ในที่นี้ เราใช้ AND เพื่อรวมเงื่อนไขหลายอย่างเข้าด้วยกัน และตรวจสอบว่าค่าในเซลล์ A1 มีค่าไม่น้อยกว่า 10 และไม่มากกว่า 20 โดยใช้ ">=” และ “<=" เป็นตัวดำเนินการ และใช้ MOD เพื่อตรวจสอบว่าค่าในเซลล์ A1 เป็นเลขคู่หรือไม่ หากผลลัพธ์ของเงื่อนไขทั้งหมดเป็นจริง จะแสดงคำว่า "ถูกต้อง" มิเช่นนั้นจะแสดงคำว่า "ไม่ถูกต้อง" สรุป สูตร IF ใน Excel เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการตรวจสอบความเป็นจริงหรือเท็จและจัดการข้อมูลใน Excel สูตร IF อาจใช้งานควบคู่กับฟังก์ชันอื่น ๆ เพื่อจัดการข้อมูลในช่วงที่กำหนดได้อย่างยืดหยุ่นและมีความหลากหลาย คุณสามารถสร้างเงื่อนไขที่ซับซ้อนได้ด้วยการใช้ AND, OR หรือ NOT เพื่อรวมข้อมูลหลายอย่างเข้าด้วยกัน พร้อมทั้งใช้งานฟังก์ชันอื่นเพื่อคำนวณข้อมูลในช่วงที่กำหนด --------------------------------------------------------------- คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 1. สูตร IF ใช้งานกับข้อมูลชนิดไหนได้บ้าง? สูตร IF สามารถใช้งานได้กับข้อมูลที่เป็นตัวเลข, ตัวอักษร, วันที่เวลา และค่าจริง-เท็จ (boolean) ได้ทุกประเภทข้อมูล 2. สูตร IF สามารถมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนได้หรือไม่? ใช่, สูตร IF สามารถมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนโดยใช้ AND, OR และ NOT เพื่อรวมประโยคเงื่อนไขหลายอย่างเข้าด้วยกัน 3. สูตร IF สามารถใช้งานร่วมกับฟังก์ชันอื่น ๆ ใน Excel ได้หรือไม่? ใช่, สูตร IF สามารถใช้งานร่วมกับฟังก์ชันอื่น ๆ ใน Excel เช่น SUM, AVERAGE, MAX และอื่น ๆ เพื่อความยืดหยุ่นในการจัดการข้อมูล 4. กำหนดเงื่อนไขในสูตร IF มีวิธีการอะไรที่แนะนำให้เหมาะสม? เงื่อนไขในสูตร IF อาจมีความซับซ้อนก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้วควรจัดเรียงและรวบรวมเงื่อนไขให้เจาะจงและชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจและการแก้ไขในอนาคต 5. สูตร IF สามารถใช้งานร่วมกับค่าว่าง (blank) ได้หรือไม่? ใช่, สูตร IF สามารถใช้งานร่วมกับค่าว่าง (blank) ได้ ในบางครั้งคุณอาจต้องมีเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น ISBLANK หรือ NOT(ISBLANK) เพื่อตรวจสอบค่าว่าง
พบ 10 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ วิธีใช้ if.
ลิงค์บทความ: วิธีใช้ if.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ วิธีใช้ if.
- สรุปวิธีการใช้ If clause #แบบกระชับ #เข้าใจง่าย – Globish
- เจาะลึกสูตร IF ใน Excel – เทพเอ็กเซล
- วิธีใช้คำสั่ง IF แบบง่ายๆ ใน Excel – Business
- เจาะลึกสูตร IF ใน Excel – เทพเอ็กเซล
- ฟังก์ชัน IF คือสูตรที่ซ้อนกันและการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด
- วิธีใช้คำสั่ง IF แบบง่ายๆ ใน Excel – Business
- เรียนรู้การใช้รูปประโยค If Clause ง่ายนิดเดียว – SI-English
- วิธีใช้ฟังก์ชัน IF กับ AND, OR และ NOT ใน Excel – ExtendOffice
- การใช้สูตร Excel ฟังก์ชั่น IF หลายเงื่อนไข หรือ IF ซ้อน IF
ดูเพิ่มเติม: themtraicay.com/category/facts-first