คําสั่ง Switch Case

คําสั่ง switch case เป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมโครงสร้างการทำงานของโปรแกรมในภาษาโปรแกรมต่างๆ โดยคำสั่งนี้จะช่วยให้โปรแกรมสามารถตรวจสอบค่าของตัวแปรหรือตรวจสอบเงื่อนไขได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โดยการทำงานของคำสั่ง switch case จะทำการเปรียบเทียบค่าของตัวแปรหรือเงื่อนไขที่กำหนด แล้วทำงานตามกลไกของคำสั่งเมื่อเงื่อนไขหรือค่านั้นมีค่าตรงกับที่กำหนดไว้ใน switch case

ตัวอย่างการใช้คำสั่ง switch case:
“`java
int day = 4;
String dayOfWeek;
switch (day) {
case 1:
dayOfWeek = “วันจันทร์”;
break;
case 2:
dayOfWeek = “วันอังคาร”;
break;
case 3:
dayOfWeek = “วันพุธ”;
break;
case 4:
dayOfWeek = “วันพฤหัสบดี”;
break;
case 5:
dayOfWeek = “วันศุกร์”;
break;
default:
dayOfWeek = “วันเสาร์หรือวันอาทิตย์”;
break;
}
System.out.println(“วันที่ ” + day + ” เป็น” + dayOfWeek);
“`
ในตัวอย่างนี้ เรากำหนดค่าตัวแปร day เป็น 4 แล้วใช้คำสั่ง switch case เพื่อตรวจสอบค่าของตัวแปร day และกำหนดค่าให้กับตัวแปร dayOfWeek ตามเงื่อนไขของคำสั่ง switch case ที่ได้กำหนดไว้ ในที่นี้ เงื่อนไขที่ตรงกับค่าของ day คือ 4 ดังนั้น ค่าของ dayOfWeek จะเป็น “วันพฤหัสบดี”

ข้อดีและข้อเสียของคำสั่ง switch case:
– ข้อดีของคำสั่ง switch case คือ สามารถอ่านและเข้าใจได้ง่าย เนื่องจากวิธีการใช้งานที่ชัดเจน
– เมื่อมีการเปรียบเทียบหลายค่าหรือเงื่อนไข คำสั่ง switch case จะช่วยให้โค้ดดูสั้นและกระชับมากขึ้น
– คำสั่ง switch case อยู่ในรูปแบบของโครงสร้างควบคุมแบบหลายเงื่อนไข ซึ่งช่วยลดการใช้งาน if-else ซ้อนกันหลายชั้นได้

อย่างไรก็ตาม คำสั่ง switch case ก็มีข้อเสียบ้าง เช่น:
– คำสั่ง switch case ใช้กับข้อมูลแบบ discrete ซึ่งหมายความว่าข้อมูลที่ใช้ต้องมีค่าจำนวนจำกัด เช่น ตัวเลขหรือตัวอักษร และไม่สามารถใช้กับข้อมูลที่มีค่าไม่แน่นอนหรือเป็นตัวดำเนินการได้
– คำสั่ง switch case ใช้เพียงเงื่อนไขเท่านั้น เนื่องจากไม่สามารถใช้เงื่อนไขเป็นสมการหรือคำสั่งภายใน switch case ได้ ในกรณีที่ต้องการใช้งานเงื่อนไขซับซ้อน อาจจำเป็นต้องใช้ if-else

การใช้งานคำสั่ง switch case ในภาษาโปรแกรมต่างๆ:
1. Switch case C:
“`c
#include

int main() {
int day = 4;
char *dayOfWeek;

switch (day) {
case 1:
dayOfWeek = “วันจันทร์”;
break;
case 2:
dayOfWeek = “วันอังคาร”;
break;
case 3:
dayOfWeek = “วันพุธ”;
break;
case 4:
dayOfWeek = “วันพฤหัสบดี”;
break;
case 5:
dayOfWeek = “วันศุกร์”;
break;
default:
dayOfWeek = “วันเสาร์หรือวันอาทิตย์”;
break;
}

printf(“วันที่ %d เป็น%s”, day, dayOfWeek);

return 0;
}
“`
ในภาษา C เราใช้คำสั่ง switch case และ break เพื่อกำหนดเงื่อนไขและการกระทำที่จะทำหลังจากเงื่อนไขตรงตามที่กำหนด ในโปรแกรมตัวอย่างนี้ เรากำหนดค่าตัวแปร day เป็น 4 และเป็นตัวเลข จากนั้น เกิดการเปรียบเทียบค่าของตัวแปร day กับค่าที่กำหนดใน switch case และส่งผลลัพธ์ออกทางหน้าจอ

2. Switch case ซ้อน switch case:
“`java
int day = 4;
String dayOfWeek;
int season;

switch (day) {
case 1:
dayOfWeek = “วันจันทร์”;
season = 1;
break;
case 2:
dayOfWeek = “วันอังคาร”;
season = 1;
break;
case 3:
dayOfWeek = “วันพุธ”;
season = 2;
break;
case 4:
dayOfWeek = “วันพฤหัสบดี”;
season = 2;
break;
case 5:
dayOfWeek = “วันศุกร์”;
season = 3;
break;
default:
dayOfWeek = “วันเสาร์หรือวันอาทิตย์”;
season = 3;
break;
}

switch (season) {
case 1:
System.out.println(dayOfWeek + ” อยู่ในฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเมษายน – มิถุนายน”);
break;
case 2:
System.out.println(dayOfWeek + ” อยู่ในฤดูร้อน ช่วงกรกฎาคม – กันยายน”);
break;
case 3:
System.out.println(dayOfWeek + ” อยู่ในฤดูหนาว ช่วงตุลาคม – ธันวาคม”);
break;
}
“`
ในตัวอย่างนี้ เรากำหนดค่าตัวแปร day เป็น 4 และกำหนดค่าตัวแปร season เพื่อระบุฤดูกาล เราใช้คำสั่ง switch case ซ้อนกัน เพื่อเปรียบเทียบค่าของตัวแปร day และตัวแปร season และทำการแสดงผลลัพธ์ออกทางหน้าจอ

เคล็ดลับในการใช้คำสั่ง switch case:
1. ใช้คำสั่ง switch case เมื่อมีการตรวจสอบค่าของตัวแปรหรือเงื่อนไขที่มีหลายค่าต่อหลายค่า
2. ใช้คำสั่ง break เพื่อหยุดการทำงานของคำสั่ง switch case เมื่อเข้าข้างในเงื่อนไขที่ตรงกันแล้ว เพื่อป้องกันการทำงานต่อโดยไม่จำเป็น
3. กำหนดค่าเริ่มต้นสำหรับตัวแปรที่เราจะใช้ใน switch case เพื่อป้องกันค่าที่ไม่ได้กำหนดในเงื่อนไข

ควรรู้ก่อนใช้คำสั่ง switch case:
1. คำสั่ง switch case ใช้เพียงแค่เงื่อนไข ไม่สามารถใช้สมการหรือคำสั่งภายใน switch case ได้ หากต้องการใช้งานเงื่อนไขที่ซับซ้อนกว่านี้ ให้ใช้ if-else
2. ตรวจสอบว่าตัวแปรหรือเงื่อนไขที่ใช้ใน switch case มีค่าที่ตรงกับเงื่อนไขที่กำหนดหรือไม่ เพราะหากไม่มีเงื่อนไขที่ตรงกัน โปรแกรมจะกระโดดไปทำงานในเงื่อนไข default หรือไม่ก็อาจจะไม่มีค่าที่ได้รับการกำหนดเลย
3. ใช้คำสั่ง break เพื่อหยุดการทำงานของคำสั่ง switch case เพื่อป้องกันไม่ให้ทำงานต่อโดยไม่จำเป็น
4. เลือกใช้คำสั่ง switch case เมื่อมีค่าหรือเงื่อนไขอยู่ในช่วงหลายค่าต่อหลายค่า เพราะจะช่วยให้โค้ดดูง่ายและกระชับกว่า if-else

หลังจากที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับคำสั่ง switch case แล้ว เรามาสรุปโจทย์ที่ใช้คำสั่ง switch case พร้อมเฉลยและคำอธิบายข้างล่าง

โจทย์ switch case พร้อมเฉลย:
1. โจทย์:
เขียนโปรแกรมด้วยคำสั่ง switch case เพื่อตรวจสอบว่าเดือนใดของปีเป็นกี่เดือน โดยกำหนดค่าตัวแปร month และแสดงผลลัพธ์ทางหน้าจอเป็นข้อความเดือนที่ได้
คำตอบ:
“`c
#include

int main() {
int month = 5;
char* monthText;

switch (month) {
case 1:
monthText = “มกราคม”;
break;
case 2:
monthText = “กุมภาพันธ์”;
break;
case 3:
monthText = “มีนาคม”;
break;
case 4:
monthText = “เมษายน”;
break;
case 5:
monthText = “พฤษภาคม”;
break;
case 6:
monthText = “มิถุนายน”;
break;
case 7:
monthText = “กรกฎาคม”;
break;
case 8:
monthText = “สิงหาคม”;
break;
case 9:
monthText = “กันยายน”;
break;
case 10:
monthText = “ตุลาคม”;
break;
case 11:
monthText = “พฤศจิกายน”;
break;
case 12:
monthText = “ธันวาคม”;
break;
default:
monthText = “ไม่มีเดือนนี้”;
break;
}

printf(“เดือนที่ %d คือ %s”, month, monthText);

return 0;
}
“`
ในโจทย์นี้ เรากำ

สอนภาษาซี C: การตรวจสอบเงื่อนไขด้วย Switch … Case

คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: คําสั่ง switch case โจทย์ switch case พร้อมเฉลย, คําสั่ง switch case คืออะไร, คําสั่ง switch case ตัดเกรด, Switch case C, Switch case ซ้อน switch case, switch case ตัดเกรด c++, Switch case C ตัวอย่าง, Switch case กับ if else

รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ คําสั่ง switch case

สอนภาษาซี C: การตรวจสอบเงื่อนไขด้วย switch ... case
สอนภาษาซี C: การตรวจสอบเงื่อนไขด้วย switch … case

หมวดหมู่: Top 57 คําสั่ง Switch Case

คำสั่ง Switch จะถูกใช้ในกรณีใด

คำสั่ง switch จะถูกใช้ในกรณีใด?

คำสั่ง switch เป็นคำสั่งที่ใช้ในภาษาโปรแกรมในการตัดสินใจขึ้นอยู่กับค่าของตัวแปรหรือตัวดำเนินการในรูปแบบต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ส่วนใหญ่จะถูกใช้ในกรณีที่เราต้องการตรวจสอบหลายค่าเบื้องต้นเพื่อดำเนินการในแต่ละกรณีตามที่กำหนดไว้

เมื่อโปรแกรมในภาษา C หรือภาษาที่มีคำสั่ง switch สามารถนำมาใช้เพื่อตัดสินใจในการทำงานได้ โดยมีรูปแบบการใช้งานดังนี้

switch (ตัวแปรหรือตัวดำเนินการ)
{
case ค่าที่ต้องการตรวจสอบ1:
คำสั่งที่จะทำงานถ้าตรงกับค่าที่ตรวจสอบ1;
break;
case ค่าที่ต้องการตรวจสอบ2:
คำสั่งที่จะทำงานถ้าตรงกับค่าที่ตรวจสอบ2;
break;
case ค่าที่ต้องการตรวจสอบ3:
คำสั่งที่จะทำงานถ้าตรงกับค่าที่ตรวจสอบ3;
break;
default:
คำสั่งที่จะทำงานถ้าไม่ตรงกับเงื่อนไขใด ๆ;
break;
}

ในส่วนของ “ตัวแปรหรือตัวดำเนินการ” ที่กล่าวไว้ข้างต้น สามารถเป็นตัวแปรของประเภทต่าง ๆ เช่น int, char, enum, หรือตัวดำเนินการที่ให้ผลลัพธ์ออกมาเป็น boolean เป็นต้น ซึ่งเมื่อค่านี้ถูกนำมาใส่ใน switch จะเป็นการตรวจสอบว่าค่าที่ได้มาตรงกับค่าใด ๆ ในรายการ case ที่กำหนดไว้หรือไม่

เมื่อระบบทำงานถึงคำสั่ง switch จะทำการตรวจสอบค่าของตัวแปรหรือตัวดำเนินการกับทุกค่าในรายการ case ที่กำหนดไว้ ถ้าตรงกัน switch จะเริ่มทำงานที่คำสั่งที่ตามหลังเคสนั้น ๆ แล้วหยุดการทำงานของคำสั่ง switch ทันทีจนกระทั่งเจอคำสั่ง break ภายในเคสที่ทำงาน ในกรณีที่ไม่ตรงกับเงื่อนไขใด ๆ ระบบจะเริ่มทำงานที่คำสั่งที่อยู่ในเคส default

ตัวอย่างการใช้งานคำสั่ง switch:

int dayOfWeek = 1;

switch (dayOfWeek)
{
case 1:
printf(“Sunday”);
break;
case 2:
printf(“Monday”);
break;
case 3:
printf(“Tuesday”);
break;
case 4:
printf(“Wednesday”);
break;
case 5:
printf(“Thursday”);
break;
case 6:
printf(“Friday”);
break;
case 7:
printf(“Saturday”);
break;
default:
printf(“Invalid day”);
break;
}

ผลลัพธ์ที่ได้จากตัวอย่างนี้คือ “Sunday” เนื่องจากค่าตัวแปร dayOfWeek เท่ากับ 1

คำสั่ง switch ในภาษาโปรแกรมนั้นสามารถถูกใช้ในกรณีต่าง ๆ ที่เราต้องการตรวจสอบหลายค่าง่าย ๆ เพื่อทำงานในแต่ละสถานการณ์ตามที่กำหนด ส่วนใหญ่จะถูกใช้ในกรณีตรวจสอบค้นหาระดับของตัวแปรหรือตรวจสอบข้อเท็จจริงในตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ เพื่อที่จะตัดสินใจในการเข้าสู่ส่วนของโปรแกรมที่ถูกต้องตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้

FAQs

1. การใช้คำสั่ง switch ต่างจากการใช้ if-else อย่างไร?
คำสั่ง switch มักถูกใช้เมื่อต้องใช้หลายค่าในการตรวจสอบโดยตรง เพื่อทำงานในแต่ละกรณีตามที่กำหนด ในขณะที่ if-else เข้ามาช่วยในการตัดสินใจที่มีเงื่อนไขซับซ้อน โดยที่มีการใช้โครงสร้างเงื่อนไขแบบถ้าเป็นเช่นนี้ให้ทำแบบนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นให้ทำแบบนี้ แต่ถ้าเป็นเงื่อนไขอื่นๆ ให้ทำแบบอื่น

2. ทำไมต้องใช้คำสั่ง break ในคำสั่ง switch?
คำสั่ง break นั้นเป็นการหยุดการทำงานของคำสั่ง switch ในเคสที่ตรงกันเพื่อป้องกันไม่ให้คำสั่ง switch ทำงานต่อโดยไล่ทำต่อหลังจากนั้น ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างโครงสร้างกรณีของคำสั่ง switch ให้ถูกต้อง

3. สามารถใช้คำสั่ง if-else แทนคำสั่ง switch ได้หรือไม่?
ใช่ คำสั่ง if-else สามารถใช้แทนคำสั่ง switch ได้ แต่ควรพิจารณาในกรณีที่ต้องการตรวจสอบหลายเงื่อนไขและการประมวลผลที่ซับซ้อน เนื่องจากคำสั่ง switch จะช่วยให้โค้ดดูง่ายและอ่านเข้าใจได้ง่ายกว่าใช้ if-else ในกรณีดังกล่าว

4. สามารถใช้คำสั่ง switch กับตัวแปรทุกประเภทได้หรือไม่?
ในภาษาโปรแกรมบางภาษา เป็นไปได้ที่จะใช้คำสั่ง switch กับตัวแปรทุกประเภทได้ แต่ในภาษาอื่น ๆ อาจจำกัดกับบางประเภทของตัวแปรที่เข้าใจได้ เช่น ประเภทข้อมูลตัวเลข เป็นต้น ในกรณีที่ใช้ภาษาที่มีคำสั่ง switch จึงควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของตัวแปรกับคำสั่ง switch ก่อนการใช้งาน

คำสั่ง If() กับคำสั่ง Switch() ต่างกันอย่างไร

คำสั่ง if() และคำสั่ง switch() เป็นคำสั่งที่พบบ่อยในการเขียนโปรแกรมที่มีเงื่อนไขหรือตัดสินใจตามเงื่อนไขต่าง ๆ เป็นหลักการในการควบคุมลำดับการทำงานของโค้ด แม้อาจมีการใช้งานคล้าย ๆ กันในบางกรณี แต่จริง ๆ แล้วมีผลต่างที่สำคัญที่ทำให้หลายคนเลือกใช้คำสั่งใดคำสั่งหนึ่งให้เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาของพวกเขา ในบทความนี้เราจะได้ศึกษาวิธีการใช้งานและความแตกต่างระหว่างคำสั่ง if() กับคำสั่ง switch() ในการประยุกต์ใช้ในโปรแกรม

คำสั่ง if() เป็นคำสั่งที่ใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไขและทำงานตามเงื่อนไขที่ถูกต้องเท่านั้น โค้ดภายในคำสั่ง if() จะถูกทำงานหากเงื่อนไขเป็นจริง (true) แต่หากเงื่อนไขเป็นเท็จ (false) โค้ดภายใน if() จะไม่ถูกทำงานเลย วิธีใช้งานของคำสั่ง if() สามารถประกอบไปด้วยการใช้เงื่อนไขเป็นการเปรียบเทียบข้อมูล หรือการตรวจสอบตัวแปร โดยรูปแบบการเขียนในภาษา C++ คือ

“`
if (เงื่อนไข) {
// โค้ดที่จะทำงานเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
} else {
// โค้ดที่จะทำงานเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ
}
“`

เมื่อนำกลไกของคำสั่ง if() มาประยุกต์ใช้ในโปรแกรม เราสามารถตรวจสอบเงื่อนไขและทำการควบคุมลำดับการทำงานตามต้องการได้อย่างมีความยืดหยุ่น ซึ่งการใช้งานคำสั่ง if() จะเหมาะสำหรับบล็อกโค้ดที่มีเงื่อนไขเรียงต่อกันหลายเงื่อนไข ดังตัวอย่างต่อไปนี้

“`
if (score >= 90) {
cout << "เกรด A" << endl; } else if (score >= 80) {
cout << "เกรด B" << endl; } else if (score >= 70) {
cout << "เกรด C" << endl; } else if (score >= 60) {
cout << "เกรด D" << endl; } else { cout << "เกรด F" << endl; } ``` สังเกตว่า เราใช้คำสั่ง if() เพื่อเปรียบเทียบค่า score กับช่วงเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้แสดงผลลัพธ์เกรดให้กับผู้ใช้งาน อีกทั้ง คำสั่ง if() ยังสามารถใช้งานร่วมกับการตรวจสอบเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น เงื่อนไขที่ใช้เปรียบเทียบสตริง ของตัวแปร หรือ เงื่อนไขที่ใช้เชื่อมต่อกันในลักษณะต่อเนื่อง เช่น '&&' (และ) และ '||' (หรือ) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ อย่างไรก็ตาม คำสั่ง switch() ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่ต่างจากคำสั่ง if() ที่ไม่ได้ใช้การเปรียบเทียบเงื่อนไขเพื่อเลือกทำงานจากเงื่อนไขนั้นเงื่อนไขนี้ แต่จะเปรียบเทียบค่าของตัวแปรหนึ่งกับค่าคงที่หรือค่าที่กำหนดการทำงานไว้ตามลำดับของตัวเลือก (case) ในคำสั่ง switch() จากนั้นโปรแกรมจะทำงานตามส่วนที่ค่าของตัวแปรตรงกับตัวเลือกนั้นๆ ได้ยกตัวอย่างคำสั่ง switch() ในภาษา C++ ดังนี้ ``` switch (เงื่อนไข) { case ค่าที่ต้องการ: // โค้ดที่จะทำงานหากค่าที่ตรงกับตัวเลือก break; case ค่าที่ต้องการ: // โค้ดที่จะทำงานหากค่าที่ตรงกับตัวเลือก break; default: // โค้ดที่จะทำงานหากไม่มีตัวเลือกที่ตรงกับค่าที่ต้องการ break; } ``` สังเกตว่า เราไม่ต้องระบุเงื่อนไขในการใช้ switch() เช่น if() แต่แทนนั้น เราใช้ค่าของตัวแปรหรือค่าคงที่ในการเปรียบเทียบกับตัวเลือกได้เลย ถ้าค่าของตัวแปรตรงกับตัวเลือกใดตัวอย่างหนึ่ง โปรแกรมจะเข้าไปทำงานในส่วนของโค้ดที่มีคำสั่ง switch() กรณีนั้น และหากไม่มีตัวเลือกใดตัวอย่างหนึ่งที่เข้ากันเรียบร้อย โปรแกรมจะทำงานในส่วนของคำสั่ง switch() ในส่วน default หรือส่วนที่ไม่ตรงกับเงื่อนไขใด ๆ การเลือกใช้งานคำสั่ง switch() จะเหมาะสำหรับบล็อกโค้ดที่ต้องการทำงานตามลำดับตัวเลือกและมีข้อมูลน้อยกว่าคำสั่ง if() ดังนั้น เราสามารถเลือกใช้คำสั่ง switch() เพื่อกระบวนการทำงานที่มีลำดับเรียงตามเงื่อนไขได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเลือกใช้คำสั่ง if() หรือคำสั่ง switch() จะขึ้นอยู่กับความต้องการและความซับซ้อนของปัญหาที่ต้องการแก้ไขด้วยโค้ด เพื่อให้คุณสามารถทำความเข้าใจและเลือกใช้งานได้อย่างถูกต้อง ด้านล่างนี้คือคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคำสั่ง if() กับคำสั่ง switch() ที่อาจมีประโยชน์ในการช่วยให้คุณเข้าใจดีขึ้น คำถามที่พบบ่อย (FAQs): 1. คำสั่ง if() กับคำสั่ง switch() แตกต่างกันอย่างไร? คำตอบ: คำสั่ง if() ตรวจสอบเงื่อนไขที่ต้องผ่านการเปรียบเทียบของข้อมูลหรือตัวแปรเพื่อทำงาน ในขณะที่คำสั่ง switch() ใช้ค่าของตัวแปรหรือค่าคงที่ในการเปรียบเทียบกับตัวเลือกเพื่อเลือกทำงานตามลำดับของตัวเลือก 2. คำสั่งใดเหมาะสำหรับใช้บล็อกโค้ดที่มีเงื่อนไขในการทำงานที่ซับซ้อน? คำตอบ: คำสั่ง if() เหมาะสำหรับใช้เมื่อมีเงื่อนไขหลาย ๆ เงื่อนไขที่ต้องตรวจสอบ และสามารถเชื่อมต่อกันหรือผสมผสานได้ ในขณะที่คำสั่ง switch() เหมาะสำหรับบล็อกโค้ดที่มีลำดับตัวเลือกที่เรียงตามเงื่อนไข 3. คำสั่งไหนที่มีประสิทธิภาพมากกว่ากันระหว่างคำสั่ง if() และคำสั่ง switch()? คำตอบ: การเลือกใช้คำสั่งเพื่อให้ได้ความแม่นยำและประสิทธิภาพขึ้นขึ้นขึ้นอยู่กับลักษณะของโปรแกรมที่เราลงมือพัฒนา ในบางกรณีคำสั่ง switch() อาจมีประสิทธิภาพมากกว่า if() เนื่องจากลำดับเรียงตามเงื่อนไขที่แน่นอนและทำให้จัดการข้อมูลที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. คำสั่งไหนที่มีความยืดหยุ่นในการตรวจสอบเงื่อนไขมากกว่ากัน? คำตอบ: คำสั่ง if() มีความยืดหยุ่นในการตรวจสอบเงื่อนไขมากกว่าคำสั่ง switch() เนื่องจากเราสามารถใช้เงื่อนไขที่ซับซ้อนหรือต่อเนื่องกันได้โดยใช้ตัวดำเนินการเชื่อมต่อ เช่น '&&' (และ) หรือ '||' (หรือ)

ดูเพิ่มเติมที่นี่: themtraicay.com

โจทย์ Switch Case พร้อมเฉลย

โจทย์ switch case พร้อมเฉลย: การใช้งานและตัวอย่างการใช้งานในภาษาโปรแกรม

การเขียนโปรแกรมหรือการเขียนโค้ดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยมากในการพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ในการเขียนโปรแกรม เราต้องเจอกับสถานการณ์ที่ต้องตรวจสอบค่าของตัวแปรหรือเงื่อนไขต่าง ๆ รวมถึงการทำงานตามเงื่อนไขนั้น ๆ อย่างรวดเร็ว ในที่นี้เราก็จะมาพูดถึงการใช้งานโครงสร้างควบคุม switch case ทางภาษาโปรแกรม พร้อมกับตัวอย่างการใช้งานในภาษาไทย

การใช้งาน switch case ในภาษาโปรแกรมนั้นเป็นการทำให้โค้ดโปรแกรมทำงานตามค่าหรือเงื่อนไขที่กำหนดได้อย่างหลากหลายและสะดวก โดยส่วนประกอบของการใช้งาน switch case ประกอบด้วยตัวแปรที่ต้องการตรวจสอบค่าหรือเงื่อนไขของมัน และกรณี (case) ที่จะทำงานเมื่อมีค่าของตัวแปรตรงกับค่าในกรณีนั้น ภายในกรณีแต่ละครั้ง เราสามารถกำหนดการกระทำที่ต้องการจะทำให้กับแต่ละค่าที่ตรงกันได้

ในภาษาโปรแกรมหลาย ๆ ภาษา เราสามารถใช้ switch case ได้ เช่น ภาษา C++, Java, JavaScript, Swift ฯลฯ โดยรูปแบบของการใช้งาน switch case เหมือนกันพอสมควร แต่ละภาษาอาจจะมีลักษณะการใช้งานที่ทำให้การเขียนโค้ดอ่านและเข้าใจได้อย่างง่ายและกระชับ

ตัวอย่างการใช้งาน switch case ในภาษา C++:

“`cpp
#include
using namespace std;

int main() {
char grade = ‘C’;

switch(grade) {
case ‘A’ :
cout << "Excellent!" << endl; break; case 'B' : cout << "Good job!" << endl; break; case 'C' : cout << "Well done!" << endl; break; case 'D' : cout << "You passed!" << endl; break; case 'F' : cout << "Better try again." << endl; break; default : cout << "Invalid grade" << endl; } return 0; } ``` ในตัวอย่างนี้ เรากำหนดค่าตัวแปร grade เท่ากับ 'C' และเข้ามาทำงานในโครงสร้างตรวจสอบ switch case ภายใน switch จะทำการตรวจสอบค่าของตัวแปร grade และกรณี 'C' โปรแกรมจะแสดงผลเป็น "Well done!" หากค่าของตัวแปร grade ไม่ตรงกับเงื่อนไขใด เช่น grade เป็น 'A' หรือ 'B' เป็นต้น จะทำงานใน case ที่ครอบและแสดงผลลัพธ์ตามที่กำหนดในแต่ละกรณี ถ้าไม่มีค่าใดตรงกับเงื่อนไขเข้ามาจะทำงานใน default และแสดงผลเป็น "Invalid grade" แสดงว่าค่า grade ที่รับเข้ามาเป็นค่าที่ไม่ถูกต้อง คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้งาน switch case: 1. switch case ใช้งานกับชนิดข้อมูลใดบ้าง? switch case สามารถใช้งานได้กับชนิดข้อมูลเชิงเลข เช่น integer, double, float และอีกมากมาย เพื่อตรวจสอบค่าตามเงื่อนไขที่กำหนด 2. อาจารย์สามารถใช้งาน break และไม่ใช้งาน break ใน switch case ได้หรือไม่? ใช่ได้ การใช้ break จะทำให้โปรแกรมออกจาก switch case และไม่สนใจการทำงานของ case ต่อไป หากไม่มี break โปรแกรมจะทำงานแทรกผ่านทุกคำสั่ง case จนกว่าจะพบ break หรือเสร็จสิ้น switch case 3. สามารถใช้เงื่อนไขซ้อนกันใน switch case ได้หรือไม่? ไม่สามารถใช้งานเงื่อนไขซ้อนกันใน switch case ได้ เพราะ switch case จะทำงานเมื่อตรวจสอบค่าของตัวแปรหรือเงื่อนไขที่กำหนด ไม่สามารถตรวจสอบคุณสมบัติอื่น ๆ ได้ 4. สามารถใช้ค่าที่ไม่ใช่เพียงจำนวนเต็มเป็นเงื่อนไขใน switch case ได้หรือไม่? ใช่ได้ ในบางภาษาโปรแกรม เราสามารถใช้งานตัวแปรที่เก็บค่าเรียงต่อกันเล็กน้อย เช่น สตริง บูลีน หรืออื่น ๆ เป็นเงื่อนไขใน switch case ในสรุปการใช้งาน switch case ในภาษาโปรแกรม เป็นวิธีการทำให้คำสั่งในโปรแกรมทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนดได้อย่างสะดวกและกระชับ ทำให้การอ่านและแก้ไขโปรแกรมเป็นเรื่องง่ายขึ้น โครงสร้างควบคุม switch case เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเขียนโปรแกรมหลาย ๆ ภาษา และเป็นสิ่งที่ควรจะรู้จักกันให้ดีสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์หรือผู้ที่สนใจในการเขียนโปรแกรม

คําสั่ง Switch Case คืออะไร

คำสั่ง switch case คืออะไร
ในการเขียนโปรแกรมภาษา C หรือภาษาที่มีโครงสร้างคล้ายๆ กับภาษา C เช่น C++, Java, Python, และ JavaScript เราสามารถใช้คำสั่ง switch case เพื่อควบคุมการกระทำในโปรแกรมของเราได้

คำสั่ง switch case เป็นโครงสร้างควบคุมที่ถูกนำเอามาใช้เมื่อเราต้องการทำงานกับค่าตัวแปรหรือค่าการส่งออก ด้วยการเปรียบเทียบค่าของตัวแปรหรือการส่งออก แล้วกำหนดการกระทำที่เหมาะสมตามค่านั้น ๆ

ในส่วนของคำสั่ง switch case จะประกอบไปด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ switch และ case statements

1. Switch
แทนอยู่ในคำสั่ง switch case เพื่อเปรียบเทียบค่าของตัวแปรหรือการส่งออก รูปแบบของคำสั่ง switch จะเป็นดังนี้:
“`
switch (expression) {
case value1:
// รันคำสั่งที่ตรงกับ value1
break;
case value2:
// รันคำสั่งที่ตรงกับ value2
break;
case value3:
// รันคำสั่งที่ตรงกับ value3
break;

default:
// รันคำสั่งเมื่อไม่มีค่าไหนตรงกับค่าที่กำหนดไว้
break;
}
“`
ในส่วนของ expression สามารถเป็นค่าได้หลายรูปแบบ เช่น integer, char, หรือ enum และเมื่อค่าใน expression ตรงกับค่าที่กำหนดใน case statement ก็จะทำการรันคำสั่งที่อยู่ภายใต้ case statement นั้นๆ

2. Case statements
ภายใต้ switch จะมีหลาย case statements สำหรับการเปรียบเทียบค่า expression แต่ละค่า อาจจะมีหรือไม่มีคำสั่งเพิ่มเติมที่รันตามมา เมื่อหากค่า expression ตรงกับค่าใน case statement จะทำการรันคำสั่งที่อยู่ภายใต้ case statement นั้น หากไม่ตรงกับค่าใดเลย จะทำการรันคำสั่งที่อยู่ใน default case (ถ้ามีการกำหนด)

ตัวอย่างการใช้งาน switch case:
“`
void printDayOfWeek(int day) {
switch(day) {
case 0:
printf(“Sunday”);
break;
case 1:
printf(“Monday”);
break;
case 2:
printf(“Tuesday”);
break;
case 3:
printf(“Wednesday”);
break;
case 4:
printf(“Thursday”);
break;
case 5:
printf(“Friday”);
break;
case 6:
printf(“Saturday”);
break;
default:
printf(“Invalid day”);
break;
}
}
“`

ในตัวอย่างด้านบน เรากำหนดฟังก์ชัน printDayOfWeek ซึ่งรับ parameter อยู่เพียงตัวเดียวคือ day ซึ่งอาจจะเป็นจำนวนเต็มได้ตั้งแต่ 0 ถึง 6 และเราสามารถเรียกใช้งานฟังก์ชันนี้เพื่อแสดงชื่อวันในสัปดาห์ตามค่า day ที่รับเข้ามา

การใช้งาน switch case เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการควบคุมการกระทำแบบเลือกตามค่า expression ที่ระบุ ซึ่งหากมีค่า expression มากเป็นจำนวนมาก การใช้งาน if-else statement อาจทำให้โค้ดเดิมดูยุ่งเหยิง และแย่งยับ ในขณะที่การใช้งาน switch case จะทำให้โค้ดดูง่ายและกระชับกว่า

FAQs (คำถามที่พบบ่อย)

Q: คำสั่ง switch case ใช้กับภาษาใดบ้าง?
A: คำสั่ง switch case สามารถใช้งานได้ในภาษา C, C++, Java, Python, และ JavaScript รวมถึงภาษาอื่นๆ ที่เข้าในกลไกของภาษาเหล่านี้

Q: ถ้าไม่กำหนด default case มันจะทำงานอย่างไร?
A: หากไม่กำหนด default case และไม่มีค่า expression ใดที่ตรงกับค่าใน case statements เลย switch case จะไม่ทำอะไรเลย

Q: สามารถใช้ค่าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ integer หรือ char ในคำสั่ง switch case ได้หรือไม่?
A: ได้ แต่ค่าที่ใช้ต้องเป็นค่าที่สามารถเปรียบเทียบจากการใช้งานของ operators บนภาษาที่เราใช้งานอยู่ เช่น integer, char, enum, หรือ string (สำหรับภาษาบางภาษา) แต่ไม่รองรับค่าที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ตรงๆ เช่น float, double, array หรือ object

ในสรุป, คำสั่ง switch case เป็นโครงสร้างควบคุมที่ช่วยให้เราสามารถควบคุมการกระทำในโปรแกรมของเราได้อย่างง่ายและกระชับ โดยการเปรียบเทียบค่าของตัวแปรหรือการส่งออก และกำหนดการกระทำที่ตรงกับค่านั้น ๆ ในกรณีที่ต้องการ คำสั่ง switch case เป็นวิธีการเขียนโปรแกรมที่นักพัฒนาชอบใช้เมื่อต้องการควบคุมกระบวนการตามค่าที่เราต้องการ

คําสั่ง Switch Case ตัดเกรด

คําสั่ง switch case ในการตัดเกรด: เรียนรู้การใช้งานและประโยชน์ของคําสั่งนี้

คําสั่ง switch case เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการควบคุมการทำงานของโปรแกรมในภาษาโปรแกรมต่างๆ เช่น C++, Java, C# และภาษาอื่นๆ โดยเราสามารถใช้คําสั่ง switch case ในการตัดเกรดนักเรียนหรือนักศึกษาที่จบการเรียนหรือภาคเรียนนั้นๆ ให้ได้เป็นที่เรียบร้อย

การใช้งาน switch case เพื่อตัดเกรดมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้:
1. เราจะเริ่มต้นโดยการรับคะแนนหรือคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนหรือนักศึกษาสามารถทําได้จากผู้ใช้งาน ซึ่งส่วนนี้อยู่นอกเหนือขอบเขตของคําสั่ง switch case เอง
2. สร้างประโยค switch case โดยใช้คะแนนหรือคะแนนเฉลี่ยที่ได้รับเป็นตัวแปรสําหรับดําเนินการต่อไป
3. นําคะแนนหรือคะแนนเฉลี่ยที่รับมาไปใช้ในคําสั่ง switch case
4. สร้างเงื่อนไขในแต่ละ case ซึ่งประกอบไปด้วยคะแนนหรือคะแนนเฉลี่ยที่รับมา รวมทั้งการตรวจสอบว่าผู้ใช้งานได้ป้อนคะแนนที่ถูกต้องหรือไม่
5. เมื่อคะแนนหรือคะแนนเฉลี่ยตรงกับเงื่อนไขใน case ใด ๆ โปรแกรมจะทํางานตามคําสั่งใน case นั้น
6. หากไม่มีเงื่อนไขใดที่ตรงกับคะแนนหรือคะแนนเฉลี่ยที่ใส่เข้ามา คําสั่งในคําสั่ง default จะถูกทํางาน

โค้ดตัวอย่างสําหรับการตัดเกรดด้วยคําสั่ง switch case ในภาษา C++:
“`cpp
#include
using namespace std;

int main()
{
float score;
cout << "Enter your score: "; cin >> score;

char grade;

switch(int(score/10))
{
case 10:
case 9:
grade = ‘A’;
break;
case 8:
grade = ‘B’;
break;
case 7:
grade = ‘C’;
break;
case 6:
grade = ‘D’;
break;
default:
grade = ‘F’;
break;
}

cout << "Your grade is " << grade << endl; return 0; } ``` ในตัวอย่างนี้ เรากําหนดให้ผู้ใช้งานป้อนคะแนนของตนเองเข้าสู่โปรแกรม โดยภายใน switch case เราใช้ int(score/10) เพื่อหาเลขหลักแรกของคะแนนที่ป้อนเข้ามา (เพราะคะแนนที่ได้รับก็ต้องอยู่ในช่วง 0-100) แล้วเปรียบเทียบเลขหลักแรกนี้กับเงื่อนไขที่กําหนดในแต่ละ case เพื่อตัดเกรดให้ผู้ใช้งาน ณ จุดนี้คุณอาจกลังเกลาให้การทดลองด้วยตัวอย่างนี้ผ่านการรันใน IDE หรือโปรแกรมคอมไพล์เลอร์ที่กระชับกว่า เพื่อให้คุณเข้าใจและทดลองเอง การทดลองและการปรับเปลี่ยนโค้ดเป็นสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมของคุณ คำถามที่พบบ่อย (FAQs): 1. คำสั่ง switch case ใช้งานได้ในภาษาโปรแกรมใดบ้าง? - คำสั่ง switch case สามารถใช้งานได้ในภาษาโปรแกรมที่รองรับ อาทิเช่น C++, Java, C#, JavaScript และอีกมากมาย 2. คำสั่ง switch case เหมาะสำหรับกรณีใด? - คำสั่ง switch case เหมาะสำหรับใช้ในกรณีที่มีหลายเงื่อนไขในการตรวจสอบและดำเนินการตามเงื่อนไขนั้นๆ เพื่อลดการเขียนเงื่อนไข if-else ที่ซ้ำซ้อน 3. ประโยชน์ของการใช้งานคำสั่ง switch case คืออะไร? - การใช้งานคำสั่ง switch case ช่วยให้โค้ดมีความกระชับยิ่งขึ้น เนื่องจากจะไม่ต้องเขียนเงื่อนไข if-else ที่ซ้ำซ้อน และช่วยให้เราสามารถจัดการกับหลายเงื่อนไขได้ง่ายขึ้น 4. switch case สามารถเปรียบเทียบย่อยได้หรือไม่? - ในการใช้งานคำสั่ง switch case เราสามารถเปรียบเทียบเงื่อนไขย่อยได้ โดยอาจใช้คำสั่ง break เพื่อหยุดการทํางานของคำสั่ง switch case หลังจากเวลาที่เงื่อนไขที่เปรียบเทียบถูกต้องเจอ 5. ควรจะใช้ if-else หรือ switch case ในการตัดเกรด? - การเลือกใช้ if-else หรือ switch case ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของเงื่อนไข ถ้าเงื่อนไขมีค่าเพียงไม่กี่เงื่อนไข ระบุการใช้งาน if-else อาจง่ายกว่า แต่ถ้ามีเงื่อนไขมากมาย การแยกแยะด้วย switch case อาจง่ายและกระชับกว่า 6. สามารถใช้ค่าอื่นๆ เป็นเงื่อนไขใน switch case ได้หรือไม่? - เงื่อนไขใน switch case จะต้องเป็นค่าที่สามารถเปรียบเทียบได้ เช่น ค่าจำนวนเต็ม หรือค่าตัวอักษร เงื่อนไขอื่น ๆ เช่นการเปรียบเทียบกับสตริง หรือนัยน์ทางคณิตศาสตร์ จำเป็นต้องใช้คำสั่งอื่นหรือวาลีเพิ่มเติมในการเปรียบเทียบ

พบ 29 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ คําสั่ง switch case.

คำสั่งควบคุมเงื่อนไขด้วย Switch-Statement – Information Technology @ Ku Src
คำสั่งควบคุมเงื่อนไขด้วย Switch-Statement – Information Technology @ Ku Src
คำสั่งควบคุมเงื่อนไขด้วย Switch-Statement – Information Technology @ Ku Src
คำสั่งควบคุมเงื่อนไขด้วย Switch-Statement – Information Technology @ Ku Src
Week6 (2/3) การสั่งอาหารโดยใช้ Switch Case Dev-C++ - Youtube
Week6 (2/3) การสั่งอาหารโดยใช้ Switch Case Dev-C++ – Youtube
Switch | Preecha11Th
Switch | Preecha11Th
คำสั่ง Switch - Case - Kruanut_C
คำสั่ง Switch – Case – Kruanut_C
3-5] ทางเลือกแบบ Switch..Case - Youtube
3-5] ทางเลือกแบบ Switch..Case – Youtube
คำสั่งควบคุมแบบมีทางเลือก ลักษณะ Switch | Selection Structure
คำสั่งควบคุมแบบมีทางเลือก ลักษณะ Switch | Selection Structure
คำสั่ง If และ Switch - ครูไอที
คำสั่ง If และ Switch – ครูไอที
สอนการใช้งาน Control Structure กับบอร์ด Arduino ด้วยโปรแกรม Arduino Ide -  ขาย Arduino เซนเซอร์ และโมดูลต่างๆ ส่งฟรี Ems Kerry : Inspired By  Lnwshop.Com
สอนการใช้งาน Control Structure กับบอร์ด Arduino ด้วยโปรแกรม Arduino Ide – ขาย Arduino เซนเซอร์ และโมดูลต่างๆ ส่งฟรี Ems Kerry : Inspired By Lnwshop.Com
มีอะไรใหม่ใน .Net Core 2 และ C# 7 : Pattern Matching ด้วยคำสั่ง Switch |  9Expert Training
มีอะไรใหม่ใน .Net Core 2 และ C# 7 : Pattern Matching ด้วยคำสั่ง Switch | 9Expert Training
Java#21 การเขียนคำสั่ง ทำให้เกิดทางเลือก ⋆ Software
Java#21 การเขียนคำสั่ง ทำให้เกิดทางเลือก ⋆ Software
มีอะไรใหม่ใน .Net Core 2 และ C# 7 : Pattern Matching ด้วยคำสั่ง Switch |  9Expert Training
มีอะไรใหม่ใน .Net Core 2 และ C# 7 : Pattern Matching ด้วยคำสั่ง Switch | 9Expert Training
การใช้คำสั่ง Switch Case ด้วย App Script - Youtube
การใช้คำสั่ง Switch Case ด้วย App Script – Youtube
สอนการใช้งาน Control Structure กับบอร์ด Arduino ด้วยโปรแกรม Arduino Ide -  ขาย Arduino เซนเซอร์ และโมดูลต่างๆ ส่งฟรี Ems Kerry : Inspired By  Lnwshop.Com
สอนการใช้งาน Control Structure กับบอร์ด Arduino ด้วยโปรแกรม Arduino Ide – ขาย Arduino เซนเซอร์ และโมดูลต่างๆ ส่งฟรี Ems Kerry : Inspired By Lnwshop.Com
Week6 (2/3) การสั่งอาหารโดยใช้ Switch Case Dev-C++ - Youtube
Week6 (2/3) การสั่งอาหารโดยใช้ Switch Case Dev-C++ – Youtube
Tech40101 Ch8 By Wannakarn - Issuu
Tech40101 Ch8 By Wannakarn – Issuu
สอน ​​C++: การตรวจสอบเงื่อนไขด้วย Switch Case - Youtube
สอน ​​C++: การตรวจสอบเงื่อนไขด้วย Switch Case – Youtube
Ep27 ปฏิบัติการเขียนโปรแกรมการใช้ Switch Case ในภาษาจาวา | Switch Case In  Java - Youtube
Ep27 ปฏิบัติการเขียนโปรแกรมการใช้ Switch Case ในภาษาจาวา | Switch Case In Java – Youtube
Switch | Preecha11Th
Switch | Preecha11Th
คำสั่ง If และ Switch - ครูไอที
คำสั่ง If และ Switch – ครูไอที
การใช้เงื่อนไข Switch Case - เว็บบอร์ด Php เว็บส่งเสริมการเรียนรู้ Hosting  Crm Erp Server Programming ถาม-ตอบปัญหา
การใช้เงื่อนไข Switch Case – เว็บบอร์ด Php เว็บส่งเสริมการเรียนรู้ Hosting Crm Erp Server Programming ถาม-ตอบปัญหา
ฝึกพื้นฐานภาษาซี (C) 06 : การตรวจสอบเงื่อนไข (If, If-Else, Switch Case) -  Youtube
ฝึกพื้นฐานภาษาซี (C) 06 : การตรวจสอบเงื่อนไข (If, If-Else, Switch Case) – Youtube
การใช้คำสั่งควบคุมการทำงานแบบ Switch Case - ครูไอที
การใช้คำสั่งควบคุมการทำงานแบบ Switch Case – ครูไอที
4.1 | Krubinaryit
4.1 | Krubinaryit
คำสั่ง Switch Case Worksheet
คำสั่ง Switch Case Worksheet
การเขียน Shell Script เบื้องต้น หลักการทำงาน และ เงื่อนไขการใช้ | Saixiii
การเขียน Shell Script เบื้องต้น หลักการทำงาน และ เงื่อนไขการใช้ | Saixiii
สอนภาษาซี C: การตรวจสอบเงื่อนไขด้วย Switch ... Case - Youtube
สอนภาษาซี C: การตรวจสอบเงื่อนไขด้วย Switch … Case – Youtube
Ch10 By แสงเพชร คำโพธิ์ - Issuu
Ch10 By แสงเพชร คำโพธิ์ – Issuu
4.1 | Krubinaryit
4.1 | Krubinaryit
Switch | Preecha11Th
Switch | Preecha11Th
สอนการใช้งาน Control Structure กับบอร์ด Arduino ด้วยโปรแกรม Arduino Ide -  ขาย Arduino เซนเซอร์ และโมดูลต่างๆ ส่งฟรี Ems Kerry : Inspired By  Lnwshop.Com
สอนการใช้งาน Control Structure กับบอร์ด Arduino ด้วยโปรแกรม Arduino Ide – ขาย Arduino เซนเซอร์ และโมดูลต่างๆ ส่งฟรี Ems Kerry : Inspired By Lnwshop.Com
Bigdata.Go.Th] คำสั่งแบบ Switch-Case Statements จะสามารถใช้ร่วมกับ Python  ได้แล้ว! Python เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ซึ่ง Python 3.10  ก็เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ หลายอย่าง แต่มีฟีเจอร์
Bigdata.Go.Th] คำสั่งแบบ Switch-Case Statements จะสามารถใช้ร่วมกับ Python ได้แล้ว! Python เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ซึ่ง Python 3.10 ก็เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ หลายอย่าง แต่มีฟีเจอร์
คำสั่ง If และ Switch - ครูไอที
คำสั่ง If และ Switch – ครูไอที
Bigdata.Go.Th] คำสั่งแบบ Switch-Case Statements จะสามารถใช้ร่วมกับ Python  ได้แล้ว! Python เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ซึ่ง Python 3.10  ก็เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ หลายอย่าง แต่มีฟีเจอร์
Bigdata.Go.Th] คำสั่งแบบ Switch-Case Statements จะสามารถใช้ร่วมกับ Python ได้แล้ว! Python เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ซึ่ง Python 3.10 ก็เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ หลายอย่าง แต่มีฟีเจอร์
โครงสร้างควบคุมในภาษา Dart
โครงสร้างควบคุมในภาษา Dart
Vba Excel - Select...Case - Excel Tips And Tricks
Vba Excel – Select…Case – Excel Tips And Tricks

ลิงค์บทความ: คําสั่ง switch case.

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ คําสั่ง switch case.

ดูเพิ่มเติม: https://themtraicay.com/category/facts-first

Rate this post

Trả lời

Email của bạn sẽ không được hiển thị công khai.