NỘI DUNG TÓM TẮT
คําสั่ง If
คำสั่ง if เป็นคำสั่งที่ใช้ในการกระทำของโปรแกรมในกรณีที่เงื่อนไขที่กำหนดเป็นจริง เงื่อนไขที่กำหนดเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในคำสั่ง if โดยคำสั่ง if จะมีรูปแบบดังนี้
“`
if condition:
statement
“`
โดย condition คือเงื่อนไขที่ต้องประเมินให้เป็นจริงหรือเท็จ ซึ่งเงื่อนไขนี้จะเป็นข้อมูลประเภท boolean (ค่าเท็จหรือค่าจริง) หากเงื่อนไขในคำสั่ง if เป็นจริง โปรแกรมจะทำงานในบล็อกคำสั่งที่อยู่ในส่วนของ statement ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ โปรแกรมจะข้ามการทำงานในส่วนของ statement แล้วทำงานต่อไป
การใช้คำสั่ง if สามารถประยุกต์ใช้กับบล็อกคำสั่งที่มีหลายบรรทัดได้ โดยใช้ขีดคั่นบรรทัดที่อยู่ในบล็อกคำสั่งด้วยเครื่องหมายทวิภาค (:)
“`
if condition:
statement1
statement2
statement3
“`
ในกรณีที่ต้องการประมวลผลในกรณีที่เงื่อนไขเป็นเท็จ โปรแกรมสามารถใช้คำสั่ง else ร่วมกับคำสั่ง if ได้ รูปแบบการใช้คำสั่ง if และ else คือ
“`
if condition:
statement1
else:
statement2
“`
กรณีนี้ถ้าเงื่อนไขในคำสั่ง if เป็นจริง โปรแกรมจะทำงานในบล็อกคำสั่งที่อยู่ในส่วนของ statement1 หากเงื่อนไขเป็นเท็จ โปรแกรมจะทำงานในบล็อกคำสั่งที่อยู่ในส่วนของ statement2
การใช้เงื่อนไขซ้อนกันในคำสั่ง if ทำให้เราสามารถตรวจสอบเงื่อนไขแบบหลายรูปแบบได้ การใช้เงื่อนไขซ้อนกันในคำสั่ง if สามารถทำได้ดังนี้
“`
if condition1:
statement1
elif condition2:
statement2
elif condition3:
statement3
else:
statement4
“`
ในกรณีนี้หากเงื่อนไข condition1 เป็นจริง โปรแกรมจะทำงานในบล็อกคำสั่งที่อยู่ในส่วนของ statement1 แต่หากเงื่อนไข condition1 เป็นเท็จ โปรแกรมจะทำการตรวจสอบเงื่อนไข condition2 หากเงื่อนไข condition2 เป็นจริง โปรแกรมจะทำงานในบล็อกคำสั่งที่อยู่ในส่วนของ statement2 และเมื่อไม่เกิดเงื่อนไขใดเป็นจริงเลย ก็จะทำงานในบล็อกคำสั่งที่อยู่ในส่วนของ statement4
การใช้คำสั่ง if ในภาษา Python สามารถประยุกต์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับคำสั่งอื่นๆ ได้ เช่น คำสั่ง for, while, หรือยังอื่นๆ ตามที่เราต้องการ โดยเราต้องใส่คำสั่งอื่นๆ ภายใต้บล็อกคำสั่งที่ระบุในคำสั่ง if ดังตัวอย่างนี้
“`
if condition:
statement1
statement2
for item in list:
print(item)
else:
statement3
“`
ในกรณีนี้หากเงื่อนไขในคำสั่ง if เป็นจริง โปรแกรมจะทำงานในบล็อกคำสั่งที่ระบุที่อยู่ในส่วนของ statement1 และ statement2 แล้วจะทำงานในคำสั่ง for เป็นลูปการทำงานซ้ำ โดยแต่ละรอบจะพิมพ์ค่าในรายการ list ออกมา แล้วเมื่อเงื่อนไขในคำสั่ง if เป็นเท็จ โปรแกรมจะทำงานในบล็อกคำสั่งที่ระบุที่อยู่ในส่วนของ statement3
การประยุกต์ใช้คำสั่ง if ในสถานการณ์ต่างๆ
การใช้คำสั่ง if ใน Excel
เราสามารถใช้คำสั่ง if ในโปรแกรม Excel เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขและทำการคำนวณในเซลล์ได้ โดยรูปแบบของคำสั่ง if ใน Excel จะเป็นดังนี้
“`
=IF(เงื่อนไข, ค่าแสดงผลถ้าเป็นจริง, ค่าแสดงผลถ้าเป็นเท็จ)
“`
เงื่อนไขสามารถเป็นเงื่อนไขที่ใช้ตรวจสอบค่าในเซลล์ได้ เช่น เปรียบเทียบค่า, ตรวจสอบเงื่อนไขต่าง ๆ และค่าแสดงผลถ้าเป็นจริงและถ้าเป็นเท็จสามารถอ้างอิงไปยังเซลล์อื่น ๆ ได้ ตัวอย่างการใช้คำสั่ง if ใน Excel สามารถแสดงได้ดังนี้
“`
=IF(A1>10, “มากกว่า 10”, “น้อยกว่าหรือเท่ากับ 10”)
“`
ในตัวอย่างนี้ คำสั่ง if จะทำการตรวจสอบค่าในเซลล์ A1 ว่ามากกว่า 10 หรือไม่ ถ้าเงื่อนไขเป็นจริง ค่าที่แสดงผลจะเป็น “มากกว่า 10” ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ ค่าที่แสดงผลจะเป็น “น้อยกว่าหรือเท่ากับ 10”
ตัวอย่างถัดไปเป็นการใช้เงื่อนไขซ้อนกันในคำสั่ง if ใน Excel
“`
=IF(A1>10, “มากกว่า 10”, IF(A1>5, “มากกว่า 5”, “น้อยกว่าหรือเท่ากับ 5”))
“`
ในกรณีนี้คำสั่ง if ซ้อนกันจะทำการตรวจสอบค่าในเซลล์ A1 ว่ามากกว่า 10 หรือไม่ หากเงื่อนไขเป็นจริง ค่าที่แสดงผลจะเป็น “มากกว่า 10” แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ คำสั่ง if ซ้อนกันทำการตรวจสอบเงื่อนไขถัดไป คือว่าค่าในเซลล์ A1 มากกว่า 5 หรือไม่ ถ้าเงื่อนไขเป็นจริง ค่าที่แสดงผลจะเป็น “มากกว่า 5” แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ ค่าที่แสดงผลจะเป็น “น้อยกว่าหรือเท่ากับ 5”
การใช้คำสั่ง if ในการเชื่อมต่อกับคำสั่งอื่นๆ
คำสั่ง if สามารถใช้ร่วมกับคำสั่งอื่น ๆ ในภาษา Python เพื่อสร้างลำดับการทำงานตามเงื่อนไขที่เราต้องการ ตัวอย่างนี้จะแสดงการใช้คำสั่ง if ร่วมกับคำสั่ง for ได้ดังนี้
“`python
numbers = [1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10]
for number in numbers:
if number % 2 == 0:
print(number, “เป็นเลขคู่”)
else:
print(number, “เป็นเลขคี่”)
“`
ในตัวอย่างนี้เราใช้คำสั่ง for เพื่อวนลูปผ่านตัวเลขในรายการ numbers จากนั้นใช้คำสั่ง if เพื่อตรวจสอบว่าตัวเลขนั้นหารด้วย 2 ลงตัวหรือไม่ ถ้าเงื่อนไขเป็นจริง โปรแกรมจะพิมพ์ว่าตัวเลขนั้นเป็นเลขคู่ แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ โปรแกรมจะพิมพ์ว่าตัวเลขนั้นเป็นเลขคี่
การใช้เงื่อนไขทางคณิตศาสตร์ในคำสั่ง if
สิ่งที่น่าสนใจคือในภาษา Python เราสามารถใช้เงื่อนไขทางคณิตศาสตร์ในคำสั่ง if ได้ เพื่อตรวจสอบเป็นเปอร์เซ็นต์ เช่น
“`python
score = 80
if score >= 80 and score <= 100: print("ได้เกรด A") elif score >= 70 and score < 80: print("ได้เกรด B") elif score >= 60 and score < 70: print("ได้เกรด C") elif score >= 50 and score < 60: print("ได้เกรด D") else: print("ได้เกรด F") ``` ในตัวอย่างนี้เราใช้เงื่อนไขทางคณิตศาสตร์เพื่อตรวจสอบเป็นเปอร์เซ็นต์ของคะแนน ถ้าคะแนนมีค่าตั้งแต่ 80 ถึง 100 จะได้เกรด A ถ้าคะแนนมีค่าตั้งแต่ 70 ถึง 79 จะได้เกรด B และเช่นนี้ คำสั่ง
Ep4. คำสั่ง If สูตร If จัดการเงื่อนไขตามเงื่อนไข คำสั่ง If ประโยชน์คำสั่ง If Excel | สอน Excel
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: คําสั่ง if คําสั่ง if excel หลายเงื่อนไข, ตัวอย่าง โจทย์ if-else, คำสั่ง for, If else, แบบฝึกหัด คำสั่ง if, If else if คือ, Else if คือ, if else ภาษาซี
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ คําสั่ง if

หมวดหมู่: Top 60 คําสั่ง If
ดูเพิ่มเติมที่นี่: themtraicay.com
คําสั่ง If Excel หลายเงื่อนไข
ในการใช้งานโปรแกรม Excel เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างรายงานต่างๆ คุณอาจต้องใช้คําสั่ง IF (If statement) เพื่อสร้างเงื่อนไขในการตรวจสอบและประมวลผลข้อมูลตามความต้องการของคุณ คําสั่ง IF ช่วยให้คุณสามารถเช็คเงื่อนไขและดำเนินการตามผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลือกที่คุณกําหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้เราจะพาคุณไปดูขั้นตอนการใช้งานคําสั่ง IF พร้อมคําอธิบายและตัวอย่างการประยุกต์ใช้
### คำอธิบายคำสั่ง IF
คําสั่ง IF เป็นคําสั่งที่ใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไขเพื่อดำเนินการของโปรแกรมตามผลลัพธ์ที่ได้ โครงสร้างของคําสั่ง IF มีดังนี้:
“`
IF(condition, value_if_true, value_if_false)
“`
– Condition คือเงื่อนไขที่ต้องการตรวจสอบ ซึ่งจะต้องเป็นชุดค่าที่สามารถรีเทิร์นออกมาเป็นจริง (True) หรือเท็จ (False)
– Value_if_true คือค่าหรือคำสั่งที่ต้องการให้โปรแกรมดําเนินการเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
– Value_if_false คือค่าหรือคำสั่งที่ต้องการให้โปรแกรมดําเนินการเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ
### การใช้งานโครงสร้าง IF
ในลักษณะทั่วไปของการใช้งานคําสั่ง IF จะมีเงื่อนไขเพียงเงื่อนไขเดียว อย่างไรก็ตาม ใน Excel คุณสามารถใช้คําสั่ง IF เพื่อสร้างเงื่อนไขหลายเงื่อนไขโดยการใช้คําสั่ง IF ซ้อน IF (Nested IF) ซึ่งมีรูปแบบดังนี้:
“`
IF(condition1, value_if_true1, IF(condition2, value_if_true2, value_if_false2))
“`
ในตัวอย่างข้างต้น เงื่อนไขที่ 1 ถูกตรวจสอบก่อน ถ้าเงื่อนไขที่ 1 เป็นจริง โปรแกรมจะดําเนินการดังค่า value_if_true1 แต่ถ้าเงื่อนไขที่ 1 เป็นเท็จ โปรแกรมจะให้เงื่อนไขที่ 2 ตรวจสอบ และในกรณีนี้ถ้าเงื่อนไขที่ 2 เป็นจริง โปรแกรมจะทําตามค่า value_if_true2 แต่ถ้าเงื่อนไขที่ 2 เป็นเท็จ โปรแกรมจะดําเนินการตามค่า value_if_false2
คุณยังสามารถเขียนคําสั่ง IF ที่ซ้อน IF ได้อีกมากกว่านั้น โดยไม่มีข้อจํากัดในการซ้อนลงไปอีกเรื่องหนึ่งของการใช้งานคําสั่ง IF ใน Excel คือคุณสามารถใช้ฟังก์ชันอื่น ๆ ร่วมกันกับคําสั่ง IF เพื่อคํานวณและทํางานที่ซับซ้อนได้
### ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานคําสั่ง IF หลายเงื่อนไข
ตัวอย่างง่ายๆ ของการประยุกต์ใช้งานคําสั่ง IF หลายเงื่อนไขคือการกําหนดเกรดให้กับนักเรียนโดยอิงตามคะแนนที่ได้รับ ให้สมมติว่าคะแนนทุกคนมีค่าระหว่าง 0-100 คะแนน โดยกําหนดว่าถ้าคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 80 จะได้เกรด A, 70-79 เกรด B, 60-69 เกรด C, 50-59 เกรด D, และคะแนนต่ำกว่า 50 จะได้เกรด F
ในการออกแบบสูตรเพื่อใช้ใน Excel คุณสามารถใช้คําสั่ง IF เพื่อกําหนดเงื่อนไขดังนี้:
“`
IF(score >= 80, “A”, IF(score >= 70, “B”, IF(score >= 60, “C”, IF(score >= 50, “D”, “F”))))
“`
ในสูตรข้างต้น เงื่อนไขซ้อนกันและถูกตรวจสอบตามลําดับ เมื่อมีเงื่อนไขที่เป็นจริง โปรแกรมจะคอยหาเงื่อนไขที่ตรงตามเงื่อนไขอย่างต่อเนื่อง
### คําถามที่พบบ่อย
1. คําสั่ง IF สามารถใช้งานกับข้อมูลประเภทใด?
คําสั่ง IF สามารถใช้งานกับข้อมูลประเภทตัวเลขและข้อความได้ ส่วนใหญ่คําสั่ง IF ถูกใช้ในการประยุกต์ใช้กับข้อมูลตัวเลขเพื่อคํานวณผลลัพธ์ตามเงื่อนไขที่กําหนด
2. คําสั่ง IF สามารถใช้งานกับเงื่อนไขหลายเงื่อนไขได้หรือไม่?
ใช่ คุณสามารถใช้คําสั่ง IF เพื่อกําหนดเงื่อนไขหลายเงื่อนไขได้โดยการซ้อน IF (Nested IF) รวมถึงการนําฟังก์ชันอื่น ๆ มาใช้ร่วมกันเพื่อคํานวณผลลัพธ์ที่ซับซ้อน
3. ควรใช้ IF หรือ SWITCH ใน Excel ในกรณีไหน?
คําสั่ง IF และ SWITCH เป็นคําสั่งที่ใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไขใน Excel โดย IF เป็นคําสั่งที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถใช้กับเงื่อนไขหลายเงื่อนไขได้ ในขณะที่ SWITCH เป็นคําสั่งที่ใช้งานได้ดีเมื่อมีเงื่อนไขในที่ที่ซับซ้อนและมีค่าตัวแปรที่ถูกติดตาม
4. สามารถใช้ฟังก์ชันอื่น ๆ ร่วมกับ IF ได้หรือไม่?
ใช่ คุณสามารถใช้ฟังก์ชันอื่น ๆ ร่วมกับคําสั่ง IF เพื่อดำเนินการที่ซับซ้อนขึ้น ฟังก์ชันที่มักจะใช้กับ IF ได้แก่ AND, OR, NOT, SUM, AVERAGE, COUNT, MIN, MAX เป็นต้น
### สรุป
คําสั่ง IF Excel หลายเงื่อนไขเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสําหรับการปรับแต่งการประมวลผลข้อมูลใน Excel คุณสามารถใช้ IF เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขและทํางานตามผลลัพธ์ที่คุณต้องการ โดยสามารถซ้อน IF เพื่อสร้างเงื่อนไขหลายเงื่อนไขอีกได้นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ฟังก์ชันอื่น ๆ เพื่อความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการคํานวณข้อมูลได้อีกด้วย
ตัวอย่าง โจทย์ If-Else
ในการเขียนโปรแกรมหรือการเขียนสคริปต์ การใช้งานตัวเลือกเงื่อนไขถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อควบคุมการทำงานของโปรแกรมให้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับผลลัพธ์และคำสั่งที่ถูกต้องตามที่ต้องการ หนึ่งในตัวเลือกเงื่อนไขที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในการเขียนโปรแกรมคือ if-else ซึ่งใช้สำหรับการตรวจสอบเงื่อนไขและปฏิบัติตามคำสั่งที่กำหนดให้ ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักและทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและตัวอย่างการใช้งาน if-else ในภาษาไทย
หลักการทำงานและการใช้งานของ if-else
if-else เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างควบคุมทางเลือกแบบทวิภาค (control structure) ในภาษาไทย โดยมีรูปแบบการใช้งานดังนี้:
“`
if (เงื่อนไข) {
// คำสั่งที่ทำงานเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
} else {
// คำสั่งที่ทำงานเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ
}
“`
โครงสร้างของ if-else ประกอบด้วยส่วนที่มีเงื่อนไข (condition) และส่วนที่จะทำงานภายในคำสั่งที่เป็น if และ else โดยถ้าเงื่อนไขเป็นจริง คำสั่งข้างในเข้ามาทำงาน และถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ คำสั่งที่อยู่ในบล็อก else จะทำงานแทน
ตัวอย่างการใช้งาน if-else ในภาษาไทย
เพื่อให้เข้าใจในวิธีการใช้งาน if-else ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือตัวอย่างเฉพาะทางที่แสดงการใช้งาน if-else ในภาษาไทย:
“`
หากคะแนนที่ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 50
แสดงข้อความ “คุณสอบผ่าน”
ไม่เช่นนั้น
แสดงข้อความ “คุณสอบไม่ผ่าน”
“`
ในตัวอย่างนี้ มีเงื่อนไขที่กำหนดว่าถ้าคะแนนที่ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 50 คำสั่งที่อยู่ในบล็อก if จะถูกทำงาน ทำให้แสดงข้อความ “คุณสอบผ่าน” แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ คำสั่งที่อยู่ในบล็อก else จะทำงานแทนเพื่อแสดงข้อความ “คุณสอบไม่ผ่าน”
ความถี่ในการใช้งาน if-else ในการเขียนโปรแกรม
if-else ถือเป็นส่วนสำคัญและถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในการเขียนโปรแกรมหรือสคริปต์ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการตรวจสอบเงื่อนไขและดำเนินการตามคำสั่งที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม การใช้งาน if-else หลายชั้นหรือซ้อนกันจนมีความซับซ้อนอาจทำให้โค้ดยาวลำบากในการอ่านและแก้ไข ในกรณีนี้อาจพิจารณาใช้ switch-case แทน if-else เพื่อเพิ่มความกระชับและความเข้าใจง่ายของโค้ด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ if-else
1. ควรใช้ if-else หรือ switch-case ในการเขียนโปรแกรม?
– การเลือกใช้ if-else หรือ switch-case ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนและวัตถุประสงค์ของโปรแกรม ในกรณีที่มีเงื่อนไขตรวจสอบหลายๆ รายการหรือมีเงื่อนไขที่ซับซ้อน อาจเหมาะสมที่จะใช้ switch-case เพื่อเพิ่มความกระชับของโค้ด แต่ถ้ามีเงื่อนไขเพียงไม่กี่รายการและมีความซับซ้อนน้อย ควรใช้ if-else เพื่อความอ่านและแก้ไขที่สะดวกยิ่งขึ้น
2. สามารถใช้ if-else ได้กี่ระดับ?
– ไม่มีข้อจำกัดทางเทคนิคในการใช้งาน if-else หรือซ้อน if กันได้แบบมากเท่าที่คุณต้องการ แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงความเข้าใจและการบำรุงรักษาโค้ดให้ง่ายในการอ่านและแก้ไข การมี if-else หลายชั้นหรือซ้อนกันมากจนเกินไปอาจทำให้โค้ดซับซ้อนและลำบากในการแก้ไข
3. การใส่วงเล็บ {} หรือบล็อกภายใน if-else จำเป็นอย่างไร?
– การใส่วงเล็บ {} หรือบล็อกภายใน if-else เป็นเพียงแนวทางสำหรับให้โค้ดอยู่ในขอบเขตที่ชัดเจนและง่ายต่อการอ่าน การไม่ใส่วงเล็บอาจทำให้โค้ดที่สั้นโดนนำมาใช้ไม่ถูกต้องและสับสนได้
4. สามารถใช้ if-else ในการตรวจสอบหลายเงื่อนไขพร้อมๆ กันได้หรือไม่?
– สามารถใช้การซ้อน if-else เพื่อตรวจสอบหลายเงื่อนไขพร้อมๆ กันได้ เช่น:
“`
if (เงื่อนไข1) {
// คำสั่งที่ทำงานเมื่อเงื่อนไข1 เป็นจริง
} else if (เงื่อนไข2) {
// คำสั่งที่ทำงานเมื่อเงื่อนไข1 เป็นเท็จ และ เงื่อนไข2 เป็นจริง
} else {
// คำสั่งที่ทำงานเมื่อทุกเงื่อนไขเป็นเท็จ
}
“`
ในตัวอย่างนี้ เงื่อนไขทั้ง 3 ถูกตรวจสอบและทำคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขที่ถูกพิจารณาว่าเป็นจริง โดยถ้าเงื่อนไข1 เป็นเท็จ และ เงื่อนไข2 เป็นจริง คำสั่งที่อยู่ในบล็อกของ if-else จะถูกรัน และถ้าทุกเงื่อนไขเป็นเท็จ คำสั่งที่อยู่ในบล็อก else จะถูกรันแทน
สรุป
การใช้งาน if-else เป็นวิธีการควบคุมการทำงานของโปรแกรมให้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างควบคุมทางเลือกแบบทวิภาคในภาษาไทย โดยในบทความนี้เราได้รู้จักและทำความเข้าใจในหลักการและตัวอย่างการใช้งาน if-else ในภาษาไทยอย่างละเอียดและเป็นรายละเอียด หากคุณต้องการเขียนโปรแกรมหรือสคริปต์ที่มีการตรวจสอบเงื่อนไขและปฏิบัติตามคำสั่งตามเงื่อนไขที่กำหนด สามารถใช้งาน if-else ในภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
FAQs (คำถามที่พบบ่อย)
1. Q: คำสั่งในบล็อก else จำเป็นต้องใช้หรือไม่?
A: ไม่จำเป็นต้องใช้บล็อก else ด้วย การใช้ if โดดเด่นหรือใช้ return เมื่อเงื่อนไขหรือคำสั่งใน if เสร็จสิ้นก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน
2. Q: สามารถใช้เงื่อนไขอื่นๆ ซ้อนกันในคำสั่งในบล็อกของ if-else ได้หรือไม่?
A: ใช่ คุณสามารถใช้เงื่อนไขซ้อนกันในคำสั่งในบล็อกของ if-else เพื่อตรวจสอบสิ่งที่คุณต้องการได้
3. Q: การอธิบายเงื่อนไขใน if-else ยาวเกินกำหนดควรจะทำอย่างไร?
A: ควรจะใช้ตัวแปรหรือฟังก์ชันในการอธิบายเงื่อนไขที่ยาวเกินกำหนด ทำให้โค้ดสามารถอ่านและแก้ไขได้ง่ายขึ้น
4. Q: สามารถใช้ else ในบล็อกที่ไม่ได้มี if ไว้หรือไม่?
A: ไม่ ไม่สามารถใช้คำสั่ง else โดดเด่นหรือแยกออกจากบล็อก if ได้ เนื่องจาก else จำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งของ if-else ที่เกี่ยวข้องกัน
คำสั่ง For
คำสั่ง for เป็นส่วนหนึ่งของภาษา Python ที่ถูกนำมาใช้งานในการวนรอบ (looping) หรือซ้ำๆ โดยมีจุดประสงค์หลักคือการทำซ้ำคำสั่งเดิมในลูป (loop) จำนวนหลายครั้งที่กำหนดไว้ ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักและศึกษาคำสั่ง for ในภาษา Python กัน
คำสั่ง for ใช้ประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญดังนี้:
1. คำว่า for: เป็นคำในภาษา Python ที่ใช้เรียกใช้คำสั่ง for
2. ตัวแปร: เป็นตัวแปรที่ใช้ในการเก็บค่าข้อมูลในการวนรอบแต่ละครั้ง
3. คำว่า in: เป็นคำที่ใช้กำหนดช่วงข้อมูลที่ตัวแปรจะวนรอบ
4. ชุดข้อมูล: เป็นชุดข้อมูลที่ตัวแปรสามารถจะวนรอบได้ ซึ่งมักเป็นชนิดข้อมูลเชิงลำดับอาเรย์หรือรายการ (list)
โครงสร้างของคำสั่ง for มีดังนี้:
for ตัวแปร in ชุดข้อมูล:
คำสั่งที่จะทำงานซ้ำ
…
ตัวอย่างการใช้งานคำสั่ง for:
“`python
fruits = [“ส้ม”, “แอปเปิ้ล”, “กล้วย”]
for fruit in fruits:
print(“ผมชอบ”, fruit)
“`
ผลลัพธ์ที่ได้:
“`
ผมชอบ ส้ม
ผมชอบ แอปเปิ้ล
ผมชอบ กล้วย
“`
ในตัวอย่างด้านบน เราใช้คำสั่ง for เพื่อวนรอบตามรายการ “fruits” ซึ่งประกอบไปด้วยส้ม แอปเปิ้ล และกล้วย และพิมพ์ข้อความ “ผมชอบ” นำหน้าทุกครั้งที่วนรอบพร้อมกับชื่อผลไม้
FAQs (คำถามที่พบบ่อย)
————
คำถาม: สามารถใช้คำสั่ง for กับข้อมูลชนิดอื่นๆ ได้หรือไม่?
คำตอบ: ใช่ คำสั่ง for สามารถใช้กับชนิดข้อมูลอื่นๆ ได้ เช่น รายการข้อความ (string), ไฟล์ (file), และแนวความคิดย่อย (generators)
คำถาม: สามารถใช้คำสั่ง for ซ้อนกันได้หรือไม่?
คำตอบ: ใช่ คุณสามารถซ้อนคำสั่ง for ได้เพื่อการวนรอบแบบซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การวนรอบกับรายการซ้อนกันในรายการ
คำถาม: สามารถใช้คำสั่ง for ร่วมกับคำสั่งอื่นที่จบบรรทัดเดียวได้หรือไม่?
คำตอบ: ได้ คุณสามารถใช้คำสั่งอื่นที่จบบรรทัดในรูปแบบสั้นๆ ร่วมกับคำสั่ง for ได้ เช่นการเพิ่มค่าแต่ละรอบ (increment), และการเพิ่มค่ามีเงื่อนไข (conditional increment)
คำถาม: สามารถใช้คำสั่ง for เพื่อเข้าถึงตัวดำเนินการ (operator) ได้หรือไม่?
คำตอบ: ได้ คุณสามารถใช้คำสั่ง for เพื่อเข้าถึงตัวดำเนินการอื่นด้วย เช่น แสดงผลลัพธ์ตัวเลขที่เป็นเลขคู่ หรือเลขคี่ และอื่นๆ
คำถาม: สามารถใช้คำสั่ง for ในการวนรอบไม่จำกัดจำนวนครั้งได้หรือไม่?
คำตอบ: ได้ คุณสามารถใช้คำสั่ง for ร่วมกับฟังก์ชัน range() เพื่อวนรอบตามจำนวนครั้งที่ต้องการ
คำสั่ง for เป็นคำสั่งที่มีความสำคัญในการเขียนโปรแกรม Python แบบรู้จักกันดี โดยใช้เพื่อการวนรอบซ้ำๆ โดยการทำงานซ้ำจะใช้ชุดข้อมูลที่กำหนดให้ไปทำงานซ้ำดังนั้นการรู้จักและเข้าใจในการใช้งานคำสั่ง for จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการเขียนโปรแกรม
มี 34 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ คําสั่ง if.

















































ลิงค์บทความ: คําสั่ง if.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ คําสั่ง if.
- หน่วยที่ 7 การตรวจสอบเงื่อนไข และเลือกการทางานของโปรแกรม
- การใช้งานคำสั่ง if else ในภาษา C – MarcusCode
- if(เงื่อนไข){ คําสั่งเมื่อเงื่อนไขเป นจริง } == เท !
- IF (ฟังก์ชัน IF) – ฝ่ายสนับสนุนของ Microsoft
- คำสั่ง if และ if-else – บทเรียนออนไลน์การเขียนโปรแกรมภาษา C
- คำสั่งควบคุม – Thanakrit Online – โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย
- คำสั่งตรวจสอบเงื่อนไข if, if else, if elseif else ในภาษา PHP
- ฟังก์ชัน if ตรวจสอบเงื่อนไขทางเลือกเดียว
ดูเพิ่มเติม: https://themtraicay.com/category/facts-first