NỘI DUNG TÓM TẮT
คํา สั่ง If Else
พื้นฐานของคำสั่ง if-else
คำสั่ง if-else ใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไขว่าอยู่ในขอบเขตที่กำหนดหรือไม่ และจะเป็นการดำเนินการตามคำสั่งที่กำหนดเมื่อเงื่อนไขเป็นจริงหรือเท็จ
รูปแบบของคำสั่ง if-else มีดังนี้:
“`
if (เงื่อนไข) {
// ดำเนินการเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
} else {
// ดำเนินการเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ
}
“`
ในทางปฏิบัติ เงื่อนไขที่เป็นจริงจะกระทำงานในบล็อกที่อยู่ในเครื่องหมายวงเล็บปีกกา {} ในขณะที่เงื่อนไขที่เป็นเท็จจะกระทำงานในบล็อกอื่นที่ถัดมาหรืออยู่ในบล็อก else {}
การใช้ if-else ในการตรวจสอบเงื่อนไข
เราสามารถใช้คำสั่ง if-else เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขได้ ทำให้โปรแกรมสามารถแสดงผลลัพธ์ที่ต่างกันไปกับเงื่อนไขที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างที่เราสามารถใช้ if-else เป็นได้คือเช็คเงื่อนไขการทำงานในระบบ เช่น ถ้าเงื่อนไขคืออุณหภูมิสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส ให้คำสั่งใน if ทำงาน และถ้าเงื่อนไขไม่เป็นจริงให้ทำงานใน else
ตัวอย่างการใช้งาน if-else ในภาษาไทย:
“`
let temperature = 35;
if (temperature > 30) {
console.log(“อุณหภูมิสูงเกินไป”);
} else {
console.log(“อุณหภูมิปกติ”);
}
“`
ผลลัพธ์ที่ได้จากตัวอย่างนี้คือ “อุณหภูมิสูงเกินไป” เนื่องจากช่ำว่าอุณหภูมิมากกว่า 30
การใช้เงื่อนไขซับซ้อนกับ if-else
เราสามารถใช้เงื่อนไขซับซ้อนกับคำสั่ง if-else ได้ เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น
ตัวอย่างที่เราสามารถใช้เงื่อนไขซับซ้อนใน if-else เป็นได้คือการตรวจสอบเงื่อนไขของผู้ใช้งานว่าเป็นผู้ใช้งานในกลุ่มใด
ตัวอย่างการใช้งาน if-else ซับซ้อน:
“`
let role = “admin”;
let accessLevel = “”;
if (role === “admin”) {
accessLevel = “เข้าถึงทุกส่วนในระบบ”;
} else if (role === “user”) {
accessLevel = “เข้าถึงบางส่วนในระบบ”;
} else {
accessLevel = “ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงในระบบ”;
}
console.log(accessLevel);
“`
ผลลัพธ์ที่ได้จากตัวอย่างนี้คือ “เข้าถึงทุกส่วนในระบบ” เนื่องจากตัวแปร role เท่ากับ “admin”
การใช้ if-else เพื่อจัดการผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามเงื่อนไข
เราสามารถใช้คำสั่ง if-else เพื่อจัดการกับเงื่อนไขที่ไม่ตรงตามที่ได้คาดหวังไว้ โดยกำหนดคำสั่งในส่วนของ else
ตัวอย่างที่เราสามารถใช้ if-else เพื่อจัดการผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามเงื่อนไขได้คือการตรวจสอบว่าเวลาเข้าร้านค้าเกินเวลาที่กำหนดหรือไม่
ตัวอย่างการใช้ if-else เพื่อจัดการผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามเงื่อนไข:
“`
let currentTime = 10;
let closingTime = 9;
if (currentTime > closingTime) {
console.log(“ร้านค้าปิดแล้ว”);
} else {
console.log(“ยังสามารถเข้าร้านค้าได้อยู่”);
}
“`
ผลลัพธ์ที่ได้จากตัวอย่างนี้คือ “ร้านค้าปิดแล้ว” เนื่องจาก currentTime มากกว่า closingTime
การใช้ if-else เพื่อตัดสินใจในเหตุการณ์พิเศษ
เราสามารถใช้คำสั่ง if-else เพื่อตัดสินใจในเหตุการณ์พิเศษได้ เช่น เมื่อต้องการให้โปรแกรมทำงานตามเงื่อนไขที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา
ตัวอย่างที่เราสามารถใช้ if-else เพื่อตัดสินใจในเหตุการณ์พิเศษได้คือเช็คเงื่อนไขการสมัครสมาชิกในเว็บไซต์
ตัวอย่างการใช้งาน if-else เพื่อตัดสินใจในเหตุการณ์พิเศษ:
“`
let isMember = true;
let isPremiumMember = true;
if (isMember) {
if (isPremiumMember) {
console.log(“ยินดีต้อนรับเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวของสมาชิกพรีเมียม”);
} else {
console.log(“ยินดีต้อนรับเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวของสมาชิก”);
}
} else {
console.log(“ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์”);
}
“`
ผลลัพธ์ที่ได้จากตัวอย่างนี้คือ “ยินดีต้อนรับเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวของสมาชิกพรีเมียม” เนื่องจาก isMember และ isPremiumMember เป็นจริง
การใช้ else-if เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติม
เราสามารถใช้คำสั่ง else-if เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ เมื่อเราต้องการตรวจสอบหลายเงื่อนไขในลำดับที่กำหนด
ตัวอย่างที่เราสามารถใช้ else-if เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติมได้คือการตรวจสอบเกรดของนักเรียน
ตัวอย่างการใช้งาน else-if เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติม:
“`
let score = 85;
let grade = “”;
if (score >= 90) {
grade = “A”;
} else if (score >= 80) {
grade = “B”;
} else if (score >= 70) {
grade = “C”;
} else if (score >= 60) {
grade = “D”;
} else {
grade = “F”;
}
console.log(“เกรดของคุณคือ ” + grade);
“`
ผลลัพธ์ที่ได้จากตัวอย่างนี้คือ “เกรดของคุณคือ B” เนื่องจากคะแนนของนักเรียนอยู่ในช่วง 80-89
การใช้ if-else ในลูป
เราสามารถใช้คำสั่ง if-else ในลูป เพื่อกำหนดการทำงานในแต่ละรอบของลูปให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
ตัวอย่างที่เราสามารถใช้ if-else ในลูปได้คือการตรวจสอบตัวเลขที่เป็นจำนวนเฉพาะ
ตัวอย่างการใช้งาน if-else ในลูป:
“`
let number = 12;
let isPrime = true;
if (number === 1) {
isPrime = false;
} else {
for (let i = 2; i < number; i++) {
if (number % i === 0) {
isPrime = false;
break;
}
}
}
if (isPrime) {
console.log(number + " เป็นจำนวนเฉพาะ");
} else {
console.log(number + " ไม่เป็นจำนวนเฉพาะ");
}
```
ผลลัพธ์ที่ได้จากตัวอย่างนี้คือ "12 ไม่เป็นจำนวนเฉพาะ" เนื่องจาก 12 หารด้วยตัวเลขใด ๆ ก็ได้
การใช้ตัวแปรในคำสั่ง if-else
เราสามารถใช้ตัวแปรในคำสั่ง if-else เพื่อเก็บผลลัพธ์หรือตัวเลือกที่ได้จากการทำงานของเงื่อนไขได้
ตัวอย่างที่เราสามารถใช้ตัวแปรในคำสั่ง if-else เพื่อเก็บผลลัพธ์ที่ได้คือการตรวจสอบเงื่อนไขของการ Login เข้าสู่ระบบ
ตัวอย่างการใช้ตัวแปรในคำสั่ง if-else:
```
let username = "admin";
let password = "password";
let isLoggedIn = false
สอนภาษาซี C: การใช้คำสั่ง If … Else เพื่อตรวจสอบเงื่อนไข (ตอนที่ 1)
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: คํา สั่ง if else คำสั่ง for, คำสั่ง if, ตัวอย่าง โจทย์ if-else, คําสั่ง if excel, if else ภาษาซี, แบบฝึกหัด คำสั่ง if, If else, If else if คือ
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ คํา สั่ง if else
หมวดหมู่: Top 82 คํา สั่ง If Else
คำสั่ง If, If…Else ใช้ต่างกันอย่างไร
คำสั่ง if และ if…else เป็นคำสั่งที่ใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไขของโปรแกรม โดยจะทำให้โปรแกรมสามารถทำงานตามขั้นตอนที่กำหนดก็ต่อเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดถูกตรวจสอบว่าเป็นจริงเท่านั้น หากเงื่อนไขไม่ถูกต้อง โปรแกรมจะข้ามขั้นตอนดังกล่าวไปโดยตรง
คำสั่ง if สามารถใช้ได้ดังนี้:
“`python
if เงื่อนไข:
คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
“`
และคำสั่ง if…else สามารถใช้ได้ดังนี้:
“`python
if เงื่อนไข:
คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
else:
คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ
“`
คราวนี้เรามาดูตัวอย่างการใช้งานของคำสั่ง if และ if…else กันบ้าง
ตัวอย่างที่ 1: เช็คค่าเลขคู่และเลขคี่
“`python
num = 7
if num % 2 == 0:
print(“ค่าของ num เป็นเลขคู่”)
“`
ในตัวอย่างนี้ เราใช้คำสั่ง if เพื่อเช็คว่าเลขที่กำหนดให้กับตัวแปร num เป็นเลขคู่หรือไม่ หาก num หารด้วย 2 ลงตัว ก็แสดงข้อความ “ค่าของ num เป็นเลขคู่”
ตัวอย่างที่ 2: เช็คค่าเลขเท่ากับ
“`python
num = 5
if num == 5:
print(“ค่าของ num เท่ากับ 5”)
“`
ในตัวอย่างนี้ เราใช้คำสั่ง if เพื่อเช็คว่าค่าของ num เท่ากับ 5 หากเงื่อนไขเป็นจริง ก็จะแสดงข้อความ “ค่าของ num เท่ากับ 5”
ตัวอย่างที่ 3: เช็คเงื่อนไขแบบ else
“`python
age = 20
if age >= 18:
print(“คุณเป็นผู้ใหญ่”)
else:
print(“คุณเป็นเด็ก”)
“`
ในตัวอย่างนี้ เราใช้คำสั่ง if…else เพื่อเช็คอายุว่ามากกว่าหรือเท่ากับ 18 หรือไม่ หากเงื่อนไขเป็นจริง ก็จะแสดงข้อความ “คุณเป็นผู้ใหญ่” แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ ก็จะแสดงข้อความ “คุณเป็นเด็ก”
คำสั่ง if และ if…else ใช้กันอย่างไร?
คำสั่ง if และ if…else นั้นใช้เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขในโปรแกรม แต่ทั้งคู่มีการใช้งานที่แตกต่างกันตามบริบทที่ใช้
คำสั่ง if ใช้ในกรณีที่เราต้องการให้โปรแกรมทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนด หากเงื่อนไขเป็นจริง โปรแกรมจะทำงานตามขั้นตอนที่กำหนด แต่หากเงื่อนไขเป็นเท็จ โปรแกรมจะข้ามขั้นตอนดังกล่าวไปโดยตรง
ส่วนคำสั่ง if…else จะใช้ในกรณีที่เราต้องการให้โปรแกรมทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนด หากเงื่อนไขเป็นจริง โปรแกรมจะทำงานตามขั้นตอนที่กำหนดในส่วน if แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ โปรแกรมจะทำงานตามขั้นตอนที่กำหนดในส่วน else
คำสั่ง if และ if…else นี้มีความสำคัญอย่างไร?
คำสั่ง if และ if…else เป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างควบคุมในการเขียนโปรแกรม เพราะมันช่วยให้โปรแกรมสามารถทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนดได้อย่างหลากหลาย
โดยการใช้คำสั่ง if และ if…else เราสามารถหาวิธีการจัดการโปรแกรมให้มีความยืดหยุ่นต่อการตรวจสอบเงื่อนไขที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น เช่น เราสามารถจัดการกับกรณีที่มีหลายเงื่อนไขได้โดยใช้คำสั่ง if…elif…else ใน Python
FAQs
1. คำสั่ง if และ if…else คืออะไร?
– คำสั่ง if เป็นคำสั่งที่ใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไขในโปรแกรม และถ้าเงื่อนไขเป็นจริง โปรแกรมจะทำงานตามขั้นตอนที่กำหนด
– คำสั่ง if…else เป็นคำสั่งที่ใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไขในโปรแกรม และถ้าเงื่อนไขเป็นจริง โปรแกรมจะทำงานตามขั้นตอนที่กำหนดในส่วน if แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ โปรแกรมจะทำงานตามขั้นตอนที่กำหนดในส่วน else
2. เราสามารถใช้คำสั่ง if ได้กี่ครั้งในโปรแกรมเดียวกัน?
– สามารถใช้คำสั่ง if ได้หลายครั้งในโปรแกรมเดียวกัน โดยการเขียนในลักษณะต่างๆ เช่น if…elif…elif…else เพื่อให้โปรแกรมสามารถทำงานตามเงื่อนไขที่หลากหลายได้อย่างยืดหยุ่น
3. คำสั่ง if เมื่อใดที่จะไม่ทำงาน?
– คำสั่ง if จะไม่ทำงานเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดเป็นเท็จ
4. คำสั่ง if…else เมื่อใดที่จะไม่ทำงาน?
– คำสั่ง if…else จะไม่ทำงานเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดเป็นจริง
คำสั่ง If มีอะไรบ้าง
ในภาษาไพธอนคำสั่ง if มีรูปแบบพื้นฐานดังนี้:
if เงื่อนไข:
คำสั่ง
เงื่อนไขที่ถูกต้องจะต้องเป็นประโยคที่คืนค่าเป็นจริง (True) หรือเท็จ (False) ซึ่งตรวจสอบโดยใช้ค่าบูลีน (Boolean) ซึ่งเป็นค่าเพียงสองค่าคือ True หรือ False
ลักษณะการใช้งานของคำสั่ง if นั้นจะมีการทดสอบเงื่อนไขที่กำหนด แล้วดำเนินการตามส่วนของคำสั่งที่ตามมาเมื่อเข้าถึงเงื่อนไขที่เป็นจริง แต่ถ้าเงื่อนไขที่กำหนดไม่เป็นจริง โปรแกรมจะข้ามส่วนของคำสั่งที่ตามมาแล้วทำงานส่วนต่อไป
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง if ในภาษาไพธอน:
age = 18
if age >= 18:
print(“คุณเป็นผู้ใหญ่”)
ในตัวอย่างข้างต้นจะทดสอบว่าตัวแปร age มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 18 หากเป็นจริงก็จะแสดงผลลัพธ์ “คุณเป็นผู้ใหญ่” ออกทางจอภาพ
ถ้าหากเงื่อนไขที่ตรวจสอบไม่มีเงื่อนไขอื่น ๆ ที่ต้องกำหนด เราสามารถใช้คำสั่ง if กับคำสั่ง else เพื่อกำหนดส่วนของการทำงานในทางตรงข้ามของเงื่อนไขที่เป็นจริง
age = 16
if age >= 18:
print(“คุณเป็นผู้ใหญ่”)
else:
print(“คุณเป็นเด็ก”)
ในตัวอย่างข้างต้นหากเงื่อนไขที่ตรวจสอบไม่เป็นจริง โปรแกรมจะแสดงผลลัพธ์ “คุณเป็นเด็ก” ออกทางจอภาพ
คำสั่ง if ยังสามารถใช้ร่วมกับคำสั่ง elif (else if) เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติมได้
score = 80
if score >= 90:
print(“คุณได้เกรด A”)
elif score >= 80:
print(“คุณได้เกรด B”)
elif score >= 70:
print(“คุณได้เกรด C”)
else:
print(“คุณไม่ผ่าน”)
ในตัวอย่างข้างต้นถ้าคะแนนที่ได้รับมากกว่าหรือเท่ากับ 90 ก็จะแสดงผลลัพธ์ “คุณได้เกรด A” แต่ถ้าคะแนนไม่ถึง 90 แต่มากกว่าหรือเท่ากับ 80 จะแสดงผลลัพธ์ “คุณได้เกรด B” และอื่น ๆ
คำสั่ง if-elif-else สามารถซ้อนกันได้แบบไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบตามลำดับของเงื่อนไขที่กำหนด
คำสั่ง if นอกจากจะใช้ตรวจสอบเงื่อนไขแล้ว ยังสามารถใช้ด้วยการรับค่าจากผู้ใช้เข้ามาทำการตัดสินใจในการทำงานของโปรแกรมได้อีกด้วย
gender = input(“กรุณาระบุเพศของคุณ (ชาย/หญิง): “)
if gender == “ชาย”:
print(“คุณเป็นเพศชาย”)
elif gender == “หญิง”:
print(“คุณเป็นเพศหญิง”)
else:
print(“คุณไม่ได้ระบุเพศ”)
ในตัวอย่างข้างต้นจะรับค่าของเพศจากผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้ระบุ “ชาย” โปรแกรมจะแสดงผลลัพธ์ “คุณเป็นเพศชาย” แต่ถ้าผู้ใช้ระบุ “หญิง” จะแสดงผลลัพธ์ “คุณเป็นเพศหญิง” และถ้าไม่ได้ระบุเพศจะแสดงผลลัพธ์ “คุณไม่ได้ระบุเพศ”
FAQs:
Q: คำสั่ง if ใช้ทำอะไรได้บ้างในภาษาไพธอน?
A: คำสั่ง if ใช้ในการควบคุมการทำงานของโปรแกรมในลักษณะเงื่อนไข โดยทดสอบว่าเงื่อนไขที่กำหนดให้เป็นจริงหรือเท็จแล้วสร้างการตัดสินใจในการทำงานของโปรแกรมต่อไป
Q: คำสั่ง if-else ใช้ยังไงในภาษาไพธอน?
A: คำสั่ง if-else ใช้เพื่อกำหนดส่วนของการทำงานที่ตรงข้ามของเงื่อนไขที่กำหนด ถ้าเงื่อนไขที่ตรวจสอบเป็นจริง โปรแกรมจะทำงานในส่วนของ if แต่ถ้าไม่เป็นจริง ก็จะทำงานในส่วนของ else
Q: สามารถใช้คำสั่ง if กับคำสั่ง elif ได้ไหม?
A: สามารถใช้คำสั่ง if ร่วมกับคำสั่ง elif เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติมในแต่ละขั้นได้ โดยโปรแกรมจะทำการตรวจสอบเงื่อนไขในลำดับต่างๆ และดำเนินการตามเงื่อนไขที่เป็นจริง
Q: คำสั่ง if เมื่อนำมาใช้ร่วมกับคำสั่งที่รับค่าจากผู้ใช้จะทำงานอย่างไร?
A: เมื่อใช้คำสั่ง if เพื่อรับค่าจากผู้ใช้ โปรแกรมจะทำการตรวจสอบค่าที่ผู้ใช้ใส่เข้ามาว่าตรงกับเงื่อนไขใด ถ้าถูกต้องจะทำการดำเนินการตามส่วนของคำสั่งที่เป็นจริง แต่ถ้าไม่ตรงกับเงื่อนไขใดเลย ก็จะทำการดำเนินการตามส่วนของคำสั่ง else
ดูเพิ่มเติมที่นี่: themtraicay.com
คำสั่ง For
ในภาษาไพทอน เราสามารถใช้คำสั่ง for เข้าถึงพวก List, Tuple, Set, Dictionary หรือแม้กระทั้งสตริงได้ โดยให้คำสั่ง for ผ่านแต่ละสมาชิกใน Collection ที่กำหนดแล้วทำงานในรอบเดียวกันสำหรับแต่ละสมาชิก เราสามารถเข้าถึงสมาชิกแต่ละตัวนี้ด้วยตัวแปรที่เรากำหนดเองที่อยู่ภายในคำสั่ง for
เรามาดูการใช้งานคำสั่ง for ในตัวอย่างข้างล่าง โดยเราจะวนซ้ำผ่านสมาชิกของ List แล้วให้แสดงผลลัพธ์ทีละสมาชิก:
“`python
my_list = [1, 2, 3, 4, 5]
for num in my_list:
print(num)
“`
ผลลัพธ์ที่ได้:
“`
1
2
3
4
5
“`
ในตัวอย่างด้านบน เราประกาศตัวแปร my_list ที่เก็บ List ของตัวเลข แล้วใช้คำสั่ง for เพื่อรันโค้ดในส่วนบรรทัดที่ 3-4 ในแต่ละรอบที่วนซ้ำ เรากำหนดให้ตัวแปร num รับค่าจากแต่ละสมาชิกใน my_list แล้วแสดงค่า num ออกมา จะเห็นว่าค่าใน my_list ถูกวนซ้ำทีละสมาชิกและแสดงผลออกมาทีละบรรทัด
นอกจากนี้ เรายังสามารถระบุเงื่อนไขให้คำสั่ง for ทำงานเฉพาะในบางเงื่อนไขเท่านั้นโดยใช้คำสั่ง if ตามหลังคำสั่ง for ได้ ตัวอย่างดังนี้:
“`python
my_list = [1, 2, 3, 4, 5]
for num in my_list:
if num % 2 == 0:
print(num)
“`
ผลลัพธ์ที่ได้:
“`
2
4
“`
ในตัวอย่างข้างต้น เราประกาศตัวแปร my_list ใหม่ที่มีสมาชิกเหมือนเดิม แต่ในคำสั่ง if เรากำหนดให้เงื่อนไขเป็นจริงเมื่อ num หารด้วย 2 ลงตัว ดังนั้นเราจึงพิมพ์ช่องว่างและจำนวนที่หารด้วย 2 ลงตัวออกมาเท่านั้น
อีกหนึ่งวิธีการใช้งานคำสั่ง for คือผสานกับฟังก์ชัน range() เพื่อเข้าถึงสมาชิกตามช่วงที่กำหนดได้อีกด้วย ฟังก์ชัน range() สามารถกำหนดอินเทอร์เวลส์เริ่มต้น สิ้นสุด และการเลื่อนของเงื่อนไขในการวนซ้ำได้ ตัวอย่างการใช้งานคำสั่ง for ร่วมกับ range():
“`python
for num in range(1, 6, 2):
print(num)
“`
ผลลัพธ์ที่ได้:
“`
1
3
5
“`
ในตัวอย่างด้านบน เราใช้คำสั่ง for เข้าถึงสมาชิกใน range(1, 6, 2) ซึ่งหมายถึงเลขจำนวนเต็มตั้งแต่ 1 ถึงน้อยกว่า 6 โดยมีการเพิ่มขึ้นทีละ 2 จะเห็นว่าค่าที่ได้มาคือ 1, 3, และ 5
คำสั่ง for ยังสามารถใช้กับสตริง (String) ได้เช่นกัน เราสามารถดึงแต่ละตัวอักขระในสตริงมาใช้งานได้ ตัวอย่างการใช้คำสั่ง for กับสตริง:
“`python
my_string = “Hello, World!”
for char in my_string:
print(char)
“`
ผลลัพธ์ที่ได้:
“`
H
e
l
l
o
,
W
o
r
l
d
!
“`
ในตัวอย่างข้างต้น เราใช้คำสั่ง for เพื่อวนซ้ำตัวอักขระแต่ละตัวใน my_string แล้วแสดงออกมาทีละตัวอักขระ
คำสั่ง for เป็นคำสั่งหลักในการวนซ้ำในภาษาไพทอน ซึ่งสามารถใช้งานได้กับหลายชนิดของข้อมูลที่มีการเก็บอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า Collection หรือ Iterable และยังสามารถกำหนดเงื่อนไขให้คำสั่ง for ทำงานได้ตามที่เราต้องการ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคำสั่ง for:
Q: คำสั่ง for ใช้แบบใดกับสตริง?
A: คำสั่ง for ใช้ร่วมกับสตริงเพื่อเข้าถึงแต่ละตัวอักขระในสตริง
Q: สร้างตัวดำเนินการที่ต้องการเงื่อนไขมาเทียบในคำสั่ง for ได้ไหม?
A: ใช่ได้ คุณสามารถใช้ตัวดำเนินการเปรียบเทียบเช่น ==, <, >, <=, >=, ฯลฯ เพื่อกำหนดเงื่อนไขให้คำสั่ง for ทำงาน
Q: สามารถใช้คำสั่ง for ร่วมกับฟังก์ชันได้ไหม?
A: ใช่ได้ คำสั่ง for สามารถใช้ร่วมกับฟังก์ชัน range() เพื่อสร้างเงื่อนไขในการรันรอบ
Q: สามารถใช้สร้างลูปซ้อนกันได้หรือไม่?
A: ใช่ได้ คุณสามารถใช้คำสั่ง for ซ้อนในคำสั่ง for ได้เพื่อสร้างลูปซ้อนกัน
Q: คำสั่ง while และคำสั่ง for แตกต่างกันอย่างไร?
A: คำสั่ง while ตรวจสอบเงื่อนไขก่อนแล้วตัดสินว่าจะทำงานได้หรือไม่ ในขณะที่คำสั่ง for จะทำงานกับสมาชิกใน Collection ทีละตัวโดยไม่ต้องตรวจสอบเงื่อนไข การใช้งานจึงแตกต่างกันตามลักษณะงานที่ต้องการ
คำสั่ง If
if condition:
statement(s)
ในตัวอย่างนี้ condition คือเงื่อนไขที่ต้องการตรวจสอบ และ statement(s) คือชุดคำสั่งที่จะถูกทำในกรณีที่เงื่อนไขเป็นจริง (True) โดยเงื่อนไขควรจะมีค่าเป็นจริงหรือเท็จ (False) ซึ่งถ้าเงื่อนไขเป็นจริง จะทำการผ่านเข้าสู่บล็อกคำสั่งภายใน if และถ้าเป็นเท็จ ระบบจะข้ามการทำบล็อกคำสั่งภายใน if แล้วดำเนินการทำงานต่อไป
ตัวอย่างการใช้งานคำสั่ง if:
x = 10
if x > 5:
print(“x is greater than 5”)
ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็น “x is greater than 5” เนื่องจากเงื่อนไข x > 5 เป็นจริง
ถ้าเงื่อนไขมีหลายเงื่อนไข จะใช้คำสั่ง elif (เวลาพูดถึงพื้นฐานใช้ else if) เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติม ก่อนที่จะใช้คำสั่ง else เพื่อรับกรณีที่ไม่เข้าเงื่อนไขใดเลย
ตัวอย่างการใช้งานคำสั่ง if, elif, else:
x = 10
if x > 10:
print(“x is greater than 10”)
elif x < 10:
print("x is less than 10")
else:
print("x is equal to 10")
ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็น "x is equal to 10" เนื่องจาก x มีค่าเท่ากับ 10
คำสั่ง if สามารถใช้ร่วมกับตัวดำเนินการเปรียบเทียบได้ เช่น >, <, >=, <=, ==, != เพื่อทำให้เงื่อนไขสมจริงหรือเท็จ
ตัวอย่างการใช้งานคำสั่ง if ร่วมกับตัวดำเนินการเปรียบเทียบ:
x = 5
if x == 5:
print("x is equal to 5")
ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็น "x is equal to 5" เนื่องจาก x == 5 เป็นจริง
คำสั่ง if เป็นส่วนสำคัญในการเขียนโปรแกรมเนื่องจากช่วยให้โปรแกรมมีความยืดหยุ่นในการปรับแก้ไขกรณีพิเศษ หรือตรวจสอบข้อมูลก่อนดำเนินการต่อไปภายในโปรแกรม
คำถามที่พบบ่อย (FAQs):
1. คำสั่ง if นี้ใช้งานกับภาษาไพธอน (Python) เท่านั้นหรือไม่?
ใช่, คำสั่ง if เป็นคำสั่งที่พบในภาษาไพธอน (Python) ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมที่ใช้งานกว้างขวางตอนนี้
2. สามารถใช้คำสั่ง if ในกรณีที่มีหลายเงื่อนไขได้หรือไม่?
ใช่, เราสามารถใช้คำสั่ง elif (else if) เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติมก่อนที่จะใช้คำสั่ง else เมื่อไม่เข้าถึงเงื่อนไขใดเลย
3. ต้องใช้คำสั่ง else กับคำสั่ง if หรือไม่?
ไม่จำเป็นต้องใช้คำสั่ง else กับคำสั่ง if แต่เมื่อเงื่อนไขใดไม่ถูกต้องหรือแท็คอยู่ในเงื่อนไขไหนเลย คำสั่งในส่วนของ else จะถูกทำงาน
4. สามารถใช้คำสั่ง if ร่วมกับตัวดำเนินการเปรียบเทียบได้อย่างไร?
เราสามารถใช้ตัวดำเนินการเปรียบเทียบเช่น >, <, >=, <=, ==, หรือ != เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขที่กำหนดในคำสั่ง if
5. คำสั่ง if มีประโยชน์อย่างไรสำหรับโปรแกรมเมอร์?
คำสั่ง if เป็นส่วนสำคัญในการเขียนโปรแกรมเนื่องจากช่วยให้โปรแกรมมีความยืดหยุ่นในการปรับแก้ไขกรณีพิเศษ หรือตรวจสอบข้อมูลก่อนดำเนินการต่อไปภายในโปรแกรม
ตัวอย่าง โจทย์ If-Else
โครงสร้าง if-else เป็นโครงสร้างทางเลือกที่ให้ความสามารถในการทำงานแบบเงื่อนไขในภาษาโปรแกรมสำหรับการควบคุมการตัดสินใจของโปรแกรมว่าจะทำอะไรเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดเป็นจริงหรือเท็จ ภาษาไทยมีการใช้งานโครงสร้าง if-else เช่นกัน ว่าถ้าเงื่อนไขที่กำหนดเป็นจริงจะแสดงผลอะไร แต่ถ้าเงื่อนไขที่กำหนดเป็นเท็จจะแสดงผลอื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้ด้วยกัน
โครงสร้างทั่วไปของ if-else ในภาษาไทย
โครงสร้าง if-else ในภาษาไทยมีรูปแบบดังต่อไปนี้:
“`
ถ้า [เงื่อนไขที่ต้องการตรวจสอบ] จริง
[คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง]
แต่ถ้าไม่เป็นจริง
[คำสั่งที่จะทำเมื่อเงื่อนไขไม่เป็นจริง]
“`
ตัวอย่างการใช้งาน if-else ในภาษาไทย
เพื่อให้มีความเข้าใจในการใช้งาน if-else ในภาษาไทยมากขึ้น เรามาดูตัวอย่างการใช้งานจริงกันดีกว่า:
“`
เช้าวันหนึ่ง ฟ้ามืดลิเวอร์เราดินแดน เราอยากหากินเช้า แต่ธรรมชาติต้องการให้เราตอ้งตัดสินใจจะหากินหรือไม่?
ถ้า [หากินได้]
ได้กิน!
แต่ถ้าไม่ได้กิน
หากินภายในห้องที่เก็บอาหาร
ถ้า [มีอาหาร]
ได้กิน!
แต่ถ้าไม่มีอาหาร
ง่ายนิดเดียวเดินไปหาดินแดนอื่นกัน!
“`
ในตัวอย่างข้างต้น หากเราสามารถหากินได้ แบบใดก็ตามเราจะได้กิน แต่ถ้าหากเราไม่สามารถหากินได้นั้น เราจะต้องพิจารณาต่อว่าเรามีอาหารในห้องที่เก็บอาหารหรือไม่ หากเรามีอาหาร เราก็จะได้กิน แต่หากไม่มีอาหารนั้น เราจะต้องเดินไปหาดินแดนอื่นไปหาอาหารเพิ่ม
FAQs เกี่ยวกับ if-else ในภาษาไทย
1. if-else ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
if-else ใช้เป็นโครงสร้างสำหรับการตัดสินใจของโปรแกรม ทำให้โปรแกรมมีความสามารถในการตรวจสอบเงื่อนไขและแสดงผลตามนั้น
2. มีทางเลือกที่ไม่ใช่ if-else ในภาษาไทยหรือไม่?
ในภาษาไทย นอกจากการใช้งาน if-else เรายังสามารถใช้งานโครงสร้างเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น switch-case, nested if, หรือสร้างเงื่อนไขที่ซับซ้อนขึ้นโดยใช้ตัวดำเนินการตรรกะ (logical operators) เช่น and, or, not
3. if-else สามารถใช้สร้างโปรแกรมภายในจาวาสคริปต์ได้หรือไม่?
ใช่ได้ โปรแกรมภาษา JavaScript ที่ใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ต่าง ๆ สามารถใช้งาน if-else ได้เหมือนภาษาอื่น ๆ
4. เราสามารถใช้งาน if-else ในภาษาไทยได้บนเว็บไซต์ไหม?
ใช่ได้ ในภาษา HTML และ CSS ที่ใช้พัฒนาเว็บไซต์ เราสามารถใช้งาน if-else ภาษาไทยได้ แต่จะต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษและใช้ฟอนต์ไทยในการแสดงผล
สรุป
โครงสร้าง if-else เป็นสารพัดเสริมที่ต้องมีในโปรแกรมที่ต้องการควบคุมการตัดสินใจตามเงื่อนไขที่กำหนด ในภาษาไทยเช่นกัน การใช้งาน if-else ต้องพิจารณาเงื่อนไขและตรวจสอบการแสดงผลที่ถูกต้องตามความต้องการของโปรแกรม พร้อมทั้งสร้างคำถามที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความเข้าใจในการใช้งาน if-else ในภาษาไทย
มี 43 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ คํา สั่ง if else.
ลิงค์บทความ: คํา สั่ง if else.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ คํา สั่ง if else.
- หน่วยที่ 7 การตรวจสอบเงื่อนไข และเลือกการทางานของโปรแกรม
- คำสั่งควบคุมเงื่อนไข – การเขียนโปรแกรมภาษาซี (C-Programs)
- คำสั่ง if และ if-else – บทเรียนออนไลน์การเขียนโปรแกรมภาษา C
- คำสั่งตรวจสอบเงื่อนไข if, if else, if elseif else ในภาษา PHP
- การใช้งานคำสั่ง if else ในภาษา C++ – สอนเขียนโปรแกรม C++
- หน่วยที่ 7 การตรวจสอบเงื่อนไข และเลือกการทางานของโปรแกรม
- หน่วยที่ 7 การตรวจสอบเงื่อนไข และเลือกการทางานของโปรแกรม
- คำสั่งควบคุม – Thanakrit Online – โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย
- การใช้งานคำสั่ง if else ในภาษา C – MarcusCode
- if(เงื่อนไข){ คําสั่งเมื่อเงื่อนไขเป นจริง } == เท !
- IF-ELSE คืออะไร มาดูกัน !!! – GlurGeek.Com
ดูเพิ่มเติม: https://themtraicay.com/category/facts-first