NỘI DUNG TÓM TẮT
การใช้ Switch Case
การใช้งานของคำสั่ง switch case เป็นเรื่องสำคัญที่ควรจะรู้ในการเขียนโปรแกรม เนื่องจากมันเป็นวิธีที่สะดวกและดีในการจัดการเงื่อนไขหลายๆ ค่าที่เป็นไปได้หลังจากนั้น โดยส่วนใหญ่แล้ว switch case ถูกนำมาใช้เมื่อเราต้องการตรวจสอบค่าของตัวแปรหนึ่งๆ แล้วกระทำการที่แตกต่างกันไปตามค่านั้นๆ
การทำความเข้าใจเรื่อง Switch Case
Switch case เป็นคำสั่งที่ใช้ในการแบ่งแยกส่วนของโปรแกรมเป็นกระบวนการย่อยๆ หรือสาขาของโค้ดที่ต้องการให้โปรแกรมของเราทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตอนแรก โดยจะใช้เงื่อนไขในการตรวจสอบค่าของตัวแปรนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอกับค่าที่ตรงกันเป็นอันดับแรกดังนั้นค่าดังกล่าวจะมาเป็นตัวกำหนดส่วนของโค้ดที่จะทำงานต่อไป
วิธีการใช้งาน Switch Case
ในการใช้งาน switch case จะต้องมีรูปแบบพื้นฐานดังนี้:
switch (ตัวแปร) {
case ค่าที่ต้องการตรวจสอบ:
// โค้ดที่จะทำงานเมื่อตรงกับเงื่อนไข
break;
case ค่าที่ต้องการตรวจสอบ:
// โค้ดที่จะทำงานเมื่อตรงกับเงื่อนไข
break;
// กรณีใน switch case อื่นๆ
default:
// โค้ดที่จะทำงานเมื่อไม่ตรงกับเงื่อนไขใดๆ
}
ตัวอย่างการใช้งาน Switch Case
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการแสดงผลของเดือนที่ถูกกรอกลงในระบบ โดยเราต้องการแสดงผลในรูปแบบของภาษาไทย เราสามารถใช้ switch case เพื่อประมวลผลได้ดังนี้:
switch (month) {
case 1:
console.log(“มกราคม”);
break;
case 2:
console.log(“กุมภาพันธ์”);
break;
case 3:
console.log(“มีนาคม”);
break;
// กรณีใน switch case อื่นๆ
default:
console.log(“ไม่พบเดือนที่คุณกรอก”);
}
ในตัวอย่างข้างต้น โปรแกรมจะแสดงผลของเดือนที่ถูกกรอกลงในระบบในรูปแบบภาษาไทย โดยใช้ switch case เพื่อตรวจสอบค่าของตัวแปร month หากตรงกับแต่ละเคสก็จะแสดงผลตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
การใช้งาน Switch Case กับตัวแปรชนิดต่างๆ
Switch case สามารถใช้กับตัวแปรชนิดต่างๆ ได้ เช่น ตัวแปรจำนวนเต็ม (integer) หรือตัวอักษร (string) โดยอาศัยคุณสมบัติของตัวแปรในการตรวจสอบและเปรียบเทียบค่า ตัวอย่างการใช้งาน switch case กับตัวแปรชนิดต่างๆ มีดังนี้:
switch (score) {
case 80:
console.log(“คะแนนดีมาก”);
break;
case 60:
case 70:
console.log(“คะแนนเฉลี่ย”);
break;
default:
console.log(“คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด”);
}
ในตัวอย่างข้างต้น เราใช้ switch case เพื่อตรวจสอบค่าของตัวแปร score ถ้าค่าเท่ากับ 80 จะแสดงผลว่า “คะแนนดีมาก” หากค่าเท่ากับ 60 หรือ 70 จะแสดงผลว่า “คะแนนเฉลี่ย” และถ้าไม่ตรงกับเงื่อนไขใดๆ จะแสดงผลว่า “คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด”
การใช้งาน Switch Case ร่วมกับเงื่อนไขทางตรรกะ
นอกจากการใช้งาน switch case เพื่อตรวจสอบค่าของตัวแปร ยังสามารถร่วมกับเงื่อนไขทางตรรกะ เพื่อประมวลผลขึ้นอย่างต่อเนื่องได้อีกด้วย ซึ่งสามารถช่วยให้โปรแกรมของเราสามารถตรวจสอบและประมวลผลตามเงื่อนไขได้อย่างยืดหยุ่น ตัวอย่างการใช้งาน switch case ร่วมกับเงื่อนไขทางตรรกะมีดังนี้:
switch (month) {
case 1:
case 3:
case 5:
case 7:
case 8:
case 10:
case 12:
console.log(“เดือนนี้มี 31 วัน”);
break;
case 4:
case 6:
case 9:
case 11:
console.log(“เดือนนี้มี 30 วัน”);
break;
case 2:
// เงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับปีอธิกสุรทิน
if (year % 4 === 0 && year % 100 !== 0 || year % 400 === 0) {
console.log(“เดือนนี้มี 29 วัน”);
} else {
console.log(“เดือนนี้มี 28 วัน”);
}
break;
}
ในตัวอย่างข้างต้น เราใช้ switch case เพื่อตรวจสอบค่าของตัวแปร month เพื่อแสดงผลผลลัพธ์เกี่ยวกับจำนวนวันในเดือนนั้นๆ โดยในเงื่อนไขบางเคส เราใช้เงื่อนไขทางตรรกะเพื่อตรวจสอบค่าของตัวแปร year เพื่อหาระบุว่าจำนวนวันของเดือนกุมภาพันธ์ในปีนั้นๆ
การใช้งาน Switch Case ในการควบคุมการทำงานของโปรแกรม
Switch case ยังสามารถใช้งานเพื่อควบคุมการทำงานของโปรแกรม โดยใช้เงื่อนไขประเภทอื่นๆ เช่น เงื่อนไขที่เป็นการผสาน (compound condition) หรือ การเทียบเปรียบ (comparison) เพื่อไปทำงานตามที่ต้องการเมื่อเงื่อนไขนั้นถูกตรวจสอบว่าเป็นจริง ตัวอย่างการใช้งาน switch case ในการควบคุมการทำงานของโปรแกรมมีดังนี้:
switch (true) {
case (score >= 80 && score <= 100):
console.log("คะแนนดีมาก");
break;
case (score >= 60 && score < 80):
console.log("คะแนนเฉลี่ย");
break;
default:
console.log("คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด");
}
ในตัวอย่างข้างต้น เราใช้ switch case เพื่อตรวจสอบค่าของตัวแปร score โดยใช้เงื่อนไขประเภทอื่นๆ เช่น เงื่อนไขการผสาน (compound condition) เพื่อตรวจสอบว่าคะแนนอยู่ในช่วงใด และแสดงผลลัพธ์ตามเงื่อนไขที่ตรงกัน
การใช้งาน Switch Case เพื่อกระจายสาขาของโปรแกรม
Switch case ยังสามารถใช้งานเพื่อกระจายสาขาของโปรแกรมได้อีกด้วย หากเราต้องการให้โปรแกรมทำงานเฉพาะส่วนบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับค่าจากตัวแปรเฉพาะ โดยไม่ต้องทำงานกับส่วนอื่นๆ สามารถใช้ switch case เพื่อให้โปรแกรมทำงานตามสาขาที่เราต้องการได้ ตัวอย่างการใช้งาน switch case เพื่อกระจายสาขาของโปรแกรมมีดังนี้:
switch (menuOption) {
case 'add':
// โค้ดสำหรับเมนูเพิ่มข้อมูล
break;
case 'edit':
// โค้ดสำหรับเมนูแก้ไขข้อมูล
break;
case 'delete':
// โค้ดสำหรับเมนูลบข้อมูล
break;
default:
// โค้ดสำหรับเมนูอื่นๆ
}
ในตัวอย่างข้างต้น เมื่อเราเลือกเมนูตามค่าของตัวแปร menuOption เช่น 'add', 'edit', หรือ 'delete' โปรแกรมจะทำงานตามส่วนของโค้ดที่เกี่ยวข้องกับตัวเลือกนั้นๆ ซึ่งในกรณีอื่นๆ โปรแกรมจะทำงานส่วนอื่นๆ ที่กำหนดในส่วน default
เคล็ดวิธีการประยุกต์ใช้ Switch Case ในการเขียนโปรแกรม
- การออกแบบคำสั่ง switch case ให้เป็นรูปแบบที่เป็นระเบียบและอ่านง่าย เพื่อให้โค้ดง่ายต่อการแก้ไขและการจัดการในอนาคต
- ให้แน่ใจว่าคำสั่ง break ถูกใช้ในแต่ละเคสของ switch case เพื่อหยุดการทำงานของโค้ดและปิดเงื่อนไข
- ใช้คำสั่ง default เพื่อจัดการกับกรณีที่ไม่มีเคสใดเข้าตรงกับเงื่อนไขที่กำหนด
- เมื่อตรวจสอบค่าตัวแปรใน switch case อาจตรวจสอบด้วย
สอนภาษาซี C: การตรวจสอบเงื่อนไขด้วย Switch … Case
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: การใช้ switch case
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ การใช้ switch case

หมวดหมู่: Top 25 การใช้ Switch Case
Switch Case ใช้ตอนไหน
ในการเขียนโปรแกรมภาษาไพธอนหรือภาษาโปรแกรมอื่น ๆ จะมีความจำเป็นในการทำงานแบบเงื่อนไขกันอย่างยิ่ง การที่โปรแกรมเราตรวจสอบเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อดำเนินการต่อไปตามสถานการณ์ในแต่ละกรณี เราสามารถใช้ได้หลายวิธี ซึ่งอีกวิธีหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันอย่างมากคือการใช้คำสั่ง Switch case
Switch case เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างคำสั่งเงื่อนไขในภาษาไพธอน ซึ่งจะทำงานโดยตรวจสอบค่าผลลัพธ์จากตัวแปรหรือค่าบอกตัวอื่น ๆ แล้วเลือกทำสิ่งที่เราต้องการตามค่าที่ได้รับ
เราสามารถใช้ Switch case เมื่อมีค่าหรือเงื่อนไขที่มีตัวเลือกหลายแบบ และเราต้องการการกระทำหลายแบบตามกลุ่มเงื่อนไขนั้น แทนที่จะเขียนเงื่อนไขขึ้นมาตั้งแต่เริ่มแรกเพื่อกำหนดการกระทำสำหรับแต่ละเงื่อนไข
โครงสร้างคำสั่ง Switch case มีดังนี้:
“`
switch variable:
case value1:
# actions
break
case value2:
# actions
break
…
case valueN:
# actions
break
default:
# actions
break
“`
ในประโยค switch ด้านบนนั้น variable คือตัวแปรหรือค่าที่เราต้องการตรวจสอบ และ case คือค่าที่เปรียบเทียบกับค่าของตัวแปร เมื่อมีค่าใดค่าหนึ่งตรงกัน โปรแกรมจะดำเนินการตาม actions ที่ระบุ ถ้าไม่มีค่าตรงกับเงื่อนไขใด ๆ ก็จะดำเนินการตาม actions ใน default แทน
สิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับ Switch case ในภาษาไพธอนคือการทำงานของมันเร็วกว่าวิธีการใช้ if-else ที่มีหลายเงื่อนไข ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของโปรแกรมได้
ตัวอย่างการใช้งาน Switch case ในไพธอน:
“`py
def switch_case(num):
switcher = {
1: “Monday”,
2: “Tuesday”,
3: “Wednesday”,
4: “Thursday”,
5: “Friday”,
6: “Saturday”,
7: “Sunday”
}
return switcher.get(num, “Invalid day”)
print(switch_case(1)) # Output: “Monday”
print(switch_case(4)) # Output: “Thursday”
print(switch_case(8)) # Output: “Invalid day”
“`
ในตัวอย่างด้านบน เรามีฟังก์ชั่น switch_case ที่รับพารามิเตอร์ num แล้วเราใช้ switcher.get(num, “Invalid day”) เพื่อเรียกค่าพจนานุกรมที่เก็บค่าตรงกับ num ถ้าไม่มีค่าตรงกับ num ใด ๆ เราจะคืนค่า “Invalid day” แทน
FAQs:
Q: Switch case ใช้ประโยชน์อย่างไรในการเขียนโปรแกรม?
A: Switch case มีประโยชน์ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบหลายเงื่อนไขและทำงานตามการสร้างตัวเลือกหลาย ๆ กรณี
Q: ควรใช้ Switch case หรือ if-else ในการเขียนโปรแกรม?
A: การเลือกใช้ Switch case หรือ if-else ขึ้นอยู่กับการต้องการและสถานการณ์แต่ละกรณี ถ้าเงื่อนไขมีหลายแบบและจำนวนมากและต้องการประสิทธิภาพสูง แนะนำให้ใช้ Switch case แทน if-else
Q: สามารถใช้งาน Switch case กับค่าที่ไม่ใช่ตัวเลขได้หรือไม่?
A: ใช้ง่ายกับค่าที่เป็นตัวเลขมากกว่า แต่สามารถใช้งานกับค่าที่ไม่ใช่ตัวเลขได้ด้วย โดยอาจจะใช้จัดการเงื่อนไขด้วยคำสั่ง if-else ภายใน case
Switch case เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดการเงื่อนไขและกระทำในภาษาไพธอน การใช้งานดีในกรณีที่ต้องทำงานตามหลายเงื่อนไขและการเปลี่ยนแปลงในโค้ด อย่างไรก็ตามให้พิจารณาว่าในบางกรณีอาจสามารถใช้ if-else แทน Switch case ได้ เพื่อให้โปรแกรมอ่านและแก้ไขได้ง่ายขึ้น
Switch Case กับ If Else ต่างกันยังไง
ในโปรแกรมมิ่ง, Switch Case และ if else เป็นเครื่องมือสำคัญสองอย่างที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถตรวจสอบเงื่อนไขและทำงานตามกรณีต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย แม้ว่าฟังก์ชันทั้งสองนี้จะทำงานคล้ายกันในบางกรณี แต่เราจำเป็นต้องทราบความแตกต่างของทั้งสองในการนำมาใช้งานให้ถูกต้อง
Switch Case เป็นโครงสร้างควบคุมที่ใช้ในการเลือกการกระทำตามค่าของตัวแปรหนึ่ง ๆ โดยค่าของตัวแปรจะถูกเปรียบเทียบกับรายการของค่าที่กำหนดไว้ และโปรแกรมจะทำงานตามบล็อกโค้ดที่สอดคล้องกับค่านั้น หากค่าที่กำหนดไม่ตรงกับเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง โปรแกรมจะกระโดดข้ามบล็อกโค้ดเหล่านั้นไปทันที
ตัวอย่างการใช้งาน Switch Case ในภาษา C++ สามารถดูได้จากโค้ดต่อไปนี้:
“`cpp
int choice = 1;
switch(choice) {
case 1:
cout << "กรุณาเลือกตัวเลือกที่ 1" << endl;
break;
case 2:
cout << "กรุณาเลือกตัวเลือกที่ 2" << endl;
break;
case 3:
cout << "กรุณาเลือกตัวเลือกที่ 3" << endl;
break;
default:
cout << "กรุณาเลือกตัวเลือกที่ไม่ถูกต้อง" << endl;
break;
}
```
ในตัวอย่างข้างต้น เรามีตัวแปร choice ที่กำหนดค่าเป็น 1 เมื่อโปรแกรมถูกเรียกใช้ Switch Case ก็จะทำงานในบล็อกโค้ดที่มีเลขเงื่อนไขตรงกับค่าของตัวแปรที่ถูกเปรียบเทียบ ในที่นี้ค่าของตัวแปร choice เท่ากับ 1 จึงทำให้โปรแกรมแสดงผล "กรุณาเลือกตัวเลือกที่ 1" ออกทางหน้าจอ
อย่างไรก็ตาม ถ้าค่าของตัวแปร choice ไม่ตรงกับเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งเลย เช่นค่า choice เท่ากับ 4 โปรแกรมจะกระโดดไปที่บล็อกโค้ดในส่วน default ซึ่งในที่นี้จะแสดงผลลัพธ์ "กรุณาเลือกตัวเลือกที่ไม่ถูกต้อง"
ในทางกลับกัน, if else เป็นโครงสร้างสำคัญที่ใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไขและแสดงผลลัพธ์ตามแต่ละเงื่อนไข โปรแกรมจะตรวจสอบเงื่อนไขใน if และถ้าเงื่อนไขนั้นเป็นจริงจะทำงานในบล็อกโค้ดภายใต้ if หากเงื่อนไขใน if เป็นเท็จ โปรแกรมจะทำงานในบล็อกโค้ดของ else
ตัวอย่างการใช้งาน if else ในภาษา C++ สามารถดูได้จากโค้ดต่อไปนี้:
```cpp
int choice = 2;
if(choice == 1) {
cout << "กรุณาเลือกตัวเลือกที่ 1" << endl;
} else if(choice == 2) {
cout << "กรุณาเลือกตัวเลือกที่ 2" << endl;
} else if(choice == 3) {
cout << "กรุณาเลือกตัวเลือกที่ 3" << endl;
} else {
cout << "กรุณาเลือกตัวเลือกที่ไม่ถูกต้อง" << endl;
}
```
ในตัวอย่างข้างต้น เมื่อโปรแกรมถูกเรียกใช้ if else จะตรวจสอบเงื่อนไขในบล็อกโค้ดแต่ละส่วนที่เป็นเงื่อนไข ในที่นี้โปรแกรมตรวจสอบว่าค่าของตัวแปร choice เป็น 2 จึงจะแสดงผลลัพธ์ "กรุณาเลือกตัวเลือกที่ 2" ออกทางหน้าจอ
หากค่าของตัวแปร choice ไม่ตรงกับเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งเลย เช่น choice เท่ากับ 4 โปรแกรมจะเข้าสู่บล็อกโค้ดของ else และแสดงผลลัพธ์ "กรุณาเลือกตัวเลือกที่ไม่ถูกต้อง"
การเลือกใช้ Switch Case หรือ if else ขึ้นอยู่กับกรณีการใช้งานและความสะดวกสบายของนักพัฒนา โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะใช้ Switch Case เมื่อเงื่อนไขมีจำนวนมากและแน่นอน หรือต้องการทำงานตามค่าหรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้เป็นชุดตัวละครบ ในทางกลับกัน if else เหมาะกับกรณีที่มีเงื่อนไขที่ซับซ้อนและมีเงื่อนไขที่ไม่แน่นอน
FAQs (คำถามที่พบบ่อย)
คำถาม: สำหรับกรณีแบบไหนที่เราควรเลือกใช้ Switch Case?
คำตอบ: เราควรเลือกใช้ Switch Case เมื่อเงื่อนไขมีจำนวนมากและแน่นอน และต้องการทำงานตามค่าหรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้เป็นชุดตัวละครบ
คำถาม: สำหรับกรณีแบบไหนที่เราควรเลือกใช้ if else?
คำตอบ: if else เหมาะกับกรณีที่มีเงื่อนไขที่ซับซ้อนและมีเงื่อนไขที่ไม่แน่นอน
คำถาม: การใช้ Switch Case หรือ if else มีผลต่อประสิทธิภาพของโปรแกรมหรือไม่?
คำตอบ: ไม่มีผลต่อประสิทธิภาพของโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญ การเลือกใช้งานรูปแบบใดขึ้นอยู่กับความสะดวกสบายและความเหมาะสมในกลุ่มบล็อกโค้ดที่เราต้องการใช้งาน
คำถาม: เราสามารถใช้ if else ในรูปแบบ Nested หรือ Switch Case ใน if else ได้หรือไม่?
คำตอบ: ใช่ เราสามารถใช้งานเหล่านี้ร่วมกันได้ แต่ควรคำนึงถึงความกระชับและความเข้าใจง่ายของโค้ดในการใช้งานรูปแบบนี้
Switch Case และ if else เป็นโครงสร้างควบคุมสองแบบที่มีความสำคัญในการพัฒนาโปรแกรมขึ้นอยู่กับความต้องการของของเรา ซึ่งการเลือกใช้รูปแบบใดขึ้นอยู่กับกรณีการใช้งานและความสะดวกสบายของนักพัฒนา
ดูเพิ่มเติมที่นี่: themtraicay.com
พบ 8 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ การใช้ switch case.



![3-5] ทางเลือกแบบ switch..case - YouTube 3-5] ทางเลือกแบบ Switch..Case - Youtube](https://i.ytimg.com/vi/MF7YDboP7O8/maxresdefault.jpg)















![BigData.go.th] คำสั่งแบบ Switch-Case Statements จะสามารถใช้ร่วมกับ Python ได้แล้ว! Python เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ซึ่ง Python 3.10 ก็เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ หลายอย่าง แต่มีฟีเจอร์ Bigdata.Go.Th] คำสั่งแบบ Switch-Case Statements จะสามารถใช้ร่วมกับ Python ได้แล้ว! Python เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ซึ่ง Python 3.10 ก็เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ หลายอย่าง แต่มีฟีเจอร์](https://t1.blockdit.com/photos/2022/07/62e38edffadc67aa6d5408f6_800x0xcover_kL0M4OIS.jpg)























ลิงค์บทความ: การใช้ switch case.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ การใช้ switch case.
- การใช้คำสั่ง switch…case
- หน่วยที่ 7 การตรวจสอบเงื่อนไข และเลือกการทางานของโปรแกรม
- การใช้งานคำสั่ง switch..case C++ – สอนเขียนโปรแกรม C++
- เงื่อนไข Switch Case – ครูปุ๋ย THN E-Learning – Google Sites
- บทที่11 Switch case
- การใช้คำสั่งควบคุมการทำงานแบบ SWITCH CASE – ครูไอที
- การเลือกทำแบบ Switch – C Language Programing
- หน่วยที่ 7 การตรวจสอบเงื่อนไข และเลือกการทางานของโปรแกรม
- คำสั่ง if และ switch – ครูไอที
- คำสั่ง switch case ในภาษา C – MarcusCode
- การใช้คำสั่ง switch…case
ดูเพิ่มเติม: https://themtraicay.com/category/facts-first