NỘI DUNG TÓM TẮT
ฟังก์ชันในภาษา C
ภาษา C เป็นภาษาโปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Dennis Ritchie ในปี ค.ศ. 1972 และเป็นหนึ่งในภาษาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในวงการโปรแกรมมิ่ง ผู้พัฒนาโปรแกรมส่วนใหญ่ในสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรมมักใช้ภาษา C เนื่องจากมีความยืดหยุ่นในการเขียนและความสามารถในการเข้าถึงระดับบนของระบบ เมื่อผู้เขียนโปรแกรมต้องการสร้างฟังก์ชันในภาษา C จะต้องทราบวิธีการประกาศและใช้งานฟังก์ชันให้ถูกต้อง ในบทความนี้เราจะพูดถึงข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการใช้งานฟังก์ชันในภาษา C รวมถึงตัวอย่างและการใช้องค์ประกอบในการสร้างฟังก์ชันเพื่อช่วยให้คุณสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การประกาศฟังก์ชันในภาษา C
ฟังก์ชันในภาษา C ถือเป็นการรวมกลุ่มของคำสั่งที่ทำงานเหมือนกันโดยจะอยู่ภายในวงเล็บหนงส์ปีกกาและจะถูกเรียกใช้งานจากส่วนอื่นของโปรแกรมตามต้องการ การประกาศฟังก์ชันในภาษา C เราจะต้องระบุชื่อของฟังก์ชัน และระบุพารามิเตอร์ที่ฟังก์ชันต้องการรับเข้ามา โดยอาจมีหรือไม่มีพารามิเตอร์ก็ได้ ดังตัวอย่างโค้ดด้านล่าง
“`c
return_type function_name(parameter1, parameter2, …)
{
// โค้ดภายในฟังก์ชัน
}
“`
เมื่อประกาศฟังก์ชันเสร็จสิ้น แล้วเราก็สามารถเรียกใช้ฟังก์ชันได้ในส่วนอื่นของโปรแกรม
การส่งค่าและการรับค่าจากฟังก์ชันในภาษา C
ภาษา C สามารถส่งค่าของตัวแปรไปยังฟังก์ชันและรับค่ากลับมาจากฟังก์ชันได้ แบบธรรมดาในภาษา C เมื่อส่งค่าไปยังฟังก์ชัน ข้อมูลจะถูกคัดลอกและส่งให้ฟังก์ชันทำงานกับสำเนาข้อมูลนั้น ดังตัวอย่างการส่งและรับค่าในภาษา C ด้านล่าง
“`c
#include
int add_numbers(int num1, int num2)
{
int sum = num1 + num2;
return sum;
}
int main()
{
int a = 5;
int b = 3;
int result = add_numbers(a, b);
printf(“ผลรวมของ %d และ %d คือ %d”, a, b, result);
return 0;
}
“`
ผลลัพธ์ที่แสดงในหน้าจอจะเป็น “ผลรวมของ 5 และ 3 คือ 8”
การส่งอาร์กิวเมนต์ผ่านค่าด้วยการระบุตำแหน่งในภาษา C
ภาษา C นอกเหนือจากสามารถส่งค่าไปยังฟังก์ชันด้วยการระบุชื่อตัวแปรของพารามิเตอร์ ยังสามารถส่งค่าโดยกำหนดตำแหน่งของพารามิเตอร์ด้วยไบต์ของตำแหน่งนั้น โดยใช้เครื่องหมาย & ซึ่งเป็นตัวบอกว่าจะส่งค่าในที่ตั้งในหน่วยความจำของตัวแปร ด้านล่างเป็นตัวอย่างการส่งค่าและการรับค่าผ่านค่าด้วยการระบุตำแหน่งในภาษา C
“`c
#include
void swap(int* a, int* b)
{
int temp = *a;
*a = *b;
*b = temp;
}
int main()
{
int x = 10;
int y = 20;
printf(“ก่อนสลับ : x = %d, y = %d\n”, x, y);
swap(&x, &y);
printf(“หลังสลับ : x = %d, y = %d\n”, x, y);
return 0;
}
“`
ผลลัพธ์ที่แสดงในหน้าจอจะเป็น “ก่อนสลับ: x = 10, y = 20” และ “หลังสลับ: x = 20, y = 10”
การส่งอาร์กิวเมนต์ผ่านตัวแปรพอยน์เตอร์ในภาษา C
ภาษา C ยังสามารถส่งค่าผ่านตัวแปรพอยน์เตอร์ได้ ดังนั้นเราสามารถเข้าถึงและปรับเปลี่ยนค่าของตัวแปรในที่ตั้งต้นที่ฟังก์ชันด้วยการส่งตัวแปรเข้าไปในฟังก์ชันด้วยตัวแปรพอยน์เตอร์ ตัวอย่างส่งและเปลี่ยนค่าของตัวแปรสามารถดูได้จากโค้ดด้านล่าง
“`c
#include
void change_value(int* num)
{
*num = 10;
}
int main()
{
int x = 5;
printf(“ก่อนเปลี่ยนค่า: x = %d\n”, x);
change_value(&x);
printf(“หลังเปลี่ยนค่า: x = %d\n”, x);
return 0;
}
“`
ผลลัพธ์ที่แสดงในหน้าจอจะเป็น “ก่อนเปลี่ยนค่า: x = 5” และ “หลังเปลี่ยนค่า: x = 10”
การส่งค่าและการรับค่าผ่านการส่งทางอ็อบเจ็กต์ในภาษา C
สำหรับภาษา C เรายังสามารถส่งค่าและรับค่าผ่านการส่งทางอ็อบเจ็กต์ (Object Passing) ได้ด้วย การส่งทางอ็อบเจ็กต์จะเป็นการส่งสถานะตัวแปรเข้าไปในฟังก์ชันหนึ่งเสมือนคำสั่งที่อำนวยความสะดวกให้ตัวแปรอื่นๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลในอ็อบเจ็กต์นั้นได้ ดังตัวอย่างการส่งและรับค่าผ่านการส่งทางอ็อบเจ็กต์ด้านล่าง
“`c
#include
typedef struct {
int radius;
} Circle;
void set_radius(Circle* circle, int radius)
{
circle->radius = radius;
}
float calculate_area(const Circle* circle)
{
return 3.14 * circle->radius * circle->radius;
}
int main()
{
Circle my_circle;
set_radius(&my_circle, 5);
float area = calculate_area(&my_circle);
printf(“พื้นที่ของวงกลมคือ %.2f\n”, area);
return 0;
}
“`
ผลลัพธ์ที่แสดงในหน้าจอจะเป็น “พื้นที่ของวงกลมคือ 78.50”
การส่งค่าและการรับค่าผ่านส่วนแบ่งของอาร์เรย์ในภาษา C
เมื่อต้องการส่งและรับค่าผ่านส่วนแบ่งของอาร์เรย์ในภาษา C เราจะต้องระบุขนาดของอาร์เรย์ในการประกาศฟังก์ชัน เนื่องจาก C ไม่รู้ขนาดของอาร์เรย์ที่ถูกส่งเข้ามา เราสามารถเรียกใช้อาร์เรย์ในฟังก์ชันเหมือนการเรียกใช้ตัวแปรปกติ ดังตัวอย่างการส่งและรับค่าผ่านส่วนแบ่งของอาร์เรย์ในภาษา C ด้านล่าง
“`c
#include
void print_array(int arr[], int size)
{
for (int i = 0; i < size; i++) {
printf("%d ", arr[i]);
}
printf("\n");
}
int main()
{
int numbers[] = {1, 2, 3, 4, 5};
int size = sizeof(numbers) / sizeof(numbers[0]);
print_array(numbers, size);
return 0;
}
```
ผลลัพธ์ที่แสดงในหน้าจอจะเป็น "1 2 3 4 5"
การใช้ฟังก์ชันเรียกซ้ำในภาษา C
ในภาษา C เรา
ฝึกพื้นฐานภาษาซี (C) 09 : ฟังก์ชัน (Function)
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: ฟังก์ชันในภาษา c การเขียนฟังก์ชัน c++, ฟังก์ชั่น c++ มีอะไรบ้าง, ฟังก์ชันพื้นฐานการเขียนโปรแกรมภาษา c, การเขียนฟังก์ชัน คณิตศาสตร์, การสร้างฟังก์ชันในภาษา python, ส่วนประกอบของฟังก์ชันในภาษาซี, Function คืออะไร มี ลักษณะ แบบ ใด บาง, ประโยชน์ของฟังก์ชัน คณิตศาสตร์
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ ฟังก์ชันในภาษา c

หมวดหมู่: Top 22 ฟังก์ชันในภาษา C
ภาษา C มีฟังก์ชัน อะไรบ้าง
ภาษา C เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุคสมัยนี้ เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูงและสามารถใช้งานได้กับหลายแพลตฟอร์ม ภาษา C ประกอบด้วยฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ เราจะพิจารณาฟังก์ชันและการใช้งานที่สำคัญของภาษา C อย่างละเอียด
1. ฟังก์ชัน printf():
ฟังก์ชัน printf() เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการพิมพ์ข้อความออกทางหน้าจอ โดยสามารถระบุข้อความที่ต้องการพิมพ์และตัวแปรที่ต้องการแสดงผลได้
ตัวอย่างการใช้งาน:
“`
int a = 10;
printf(“The value of a is %d”, a);
“`
ผลลัพธ์:
“`
The value of a is 10
“`
2. ฟังก์ชัน scanf():
ฟังก์ชัน scanf() เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการรับค่าจากผู้ใช้ผ่านทางคีย์บอร์ด โดยตัวแปรที่รับค่าจะต้องระบุประเภทของข้อมูลที่เก็บได้ ฟังก์ชันนี้ดีมากเพราะช่วยให้โปรแกรมสามารถทำงานแบบแปรผันได้
ตัวอย่างการใช้งาน:
“`
int a;
printf(“Enter a value: “);
scanf(“%d”, &a);
printf(“You entered: %d”, a);
“`
ผลลัพธ์:
“`
Enter a value: 5
You entered: 5
“`
3. ฟังก์ชัน การดำเนินการทางคณิตศาสตร์:
ภาษา C มีฟังก์ชันเบื้องต้นในการดำเนินการทางคณิตศาสตร์อย่างแบบเต็มรูปแบบ ฟังก์ชันเหล่านี้รวมถึงการบวกเลข (addition), การลบเลข (subtraction), การคูณ (multiplication), และการหาร (division)
ตัวอย่างการใช้งาน:
“`
int a = 5, b = 2;
printf(“Addition: %d\n”, a + b);
printf(“Subtraction: %d\n”, a – b);
printf(“Multiplication: %d\n”, a * b);
printf(“Division: %f\n”, (float)a / b);
“`
ผลลัพธ์:
“`
Addition: 7
Subtraction: 3
Multiplication: 10
Division: 2.500000
“`
4. ฟังก์ชัน if-else:
ฟังก์ชัน if-else ใช้ในการทำงานแบบเงื่อนไข สามารถใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไขและดำเนินการตามผลลัพธ์
ตัวอย่างการใช้งาน:
“`
int a = 5, b = 10;
if (a > b) {
printf(“a is greater than b”);
}
else {
printf(“b is greater than a”);
}
“`
ผลลัพธ์:
“`
b is greater than a
“`
5. ฟังก์ชัน for loop:
ฟังก์ชัน for loop ช่วยให้สามารถทำซ้ำโค้ดโดยกำหนดเงื่อนไข และเพิ่มค่าเพื่อเข้าสู่รอบถัดไปได้
ตัวอย่างการใช้งาน:
“`
for (int i = 0; i < 5; i++) {
printf("%d ", i);
}
```
ผลลัพธ์:
```
0 1 2 3 4
```
6. ฟังก์ชัน while loop:
ฟังก์ชัน while loop ใช้ในการทำซ้ำโค้ดไว้เมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
ตัวอย่างการใช้งาน:
```
int i = 0;
while (i < 5) {
printf("%d ", i);
i++;
}
```
ผลลัพธ์:
```
0 1 2 3 4
```
7. ฟังก์ชันภายในฟังก์ชัน (Nested Function):
อาจจะไม่รู้ว่าในภาษา C สามารถนำฟังก์ชันไปใช้ภายในฟังก์ชันอีกฟังก์ชันหนึ่งได้ ซึ่งช่วยให้โค้ดสามารถมีความยืดหยุ่นมากขึ้นได้
ตัวอย่างการใช้งาน:
```
int add(int a, int b) {
return a + b;
}
int multiply(int a, int b) {
return a * b;
}
int main() {
printf("%d\n", add(2, 3)); // 5
printf("%d\n", multiply(2, 3)); // 6
return 0;
}
```
จากนั้น เราจะมาสรุป ภาษา C เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่มีฟังก์ชันต่าง ๆ ที่สำคัญที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเขียนโปรแกรมควบคู่คุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟังก์ชันพื้นฐานเช่น printf() และ scanf() ช่วยให้สามารถแสดงผลและรับค่าได้ นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันควบคุมการทำงานเช่น if-else, loops (for loop และ while loop) ที่ช่วยในการทำงานที่ซับซ้อนขึ้นได้
คำถามที่พบบ่อย (FAQs):
1. มีฟังก์ชันในภาษา C อื่น ๆ อีกหรือไม่?
ใช้ ภายในภาษา C ยังมีฟังก์ชันอื่นรวมถึงการจัดการแบบอินพุต/เอาท์พุต (I/O functions) เช่น fgets(), gets(), puts(), putchar(), และอื่น ๆ
2. ภาษา C สามารถใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันอะไรได้บ้าง?
ภาษา C เหมาะสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อน ยกตัวอย่างเช่น ระบบปฏิบัติการ (Operating Systems), ไดรเวอร์ฮาร์ดแวร์ (Hardware drivers), ซอฟต์แวร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น เกม และโปรแกรมที่ต้องการการจัดการหน่วยความจำหรือเวลาที่ละเอียดอ่อน อีกทั้งยังเป็นภาษาที่น่าเรียนรู้สำหรับการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง (structured programming)
3. ภาษา C มีข้อจำกัดหรือปัญหาที่เราควรรู้ไหม?
ภาษา C มีโค้ดที่ซับซ้อนและมีความยืดหยุ่นสูง ดังนั้น การสร้างโปรแกรมที่เป็นอย่างดีต้องคำนึงถึงปัญหาความปลอดภัย ไม่งั้นอาจเกิดปัญหาเช่นข้อมูลทับซ้อน (buffer overflow) หรืออย่างอื่นที่ทำให้โปรแกรมไม่ทำงานได้อย่างถูกต้อง
4. มีทรัพยากรอื่นที่สามารถใช้ประกอบการเรียนรู้ภาษา C ได้ไหม?
ใช่มีหลักสูตรออนไลน์และพื้นที่เพื่อการพัฒนาที่เป็นแหล่งที่สามารถเรียนรู้ภาษา C ได้ รวมถึงหนังสือและคอร์สออนไลน์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก
ในที่สุดนี้คุณได้รู้ว่า ภาษา C มีฟังก์ชันต่าง ๆ ที่สำคัญที่ช่วยให้การพัฒนาโปรแกรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับมีข้อความอธิบายแต่ละฟังก์ชันและตัวอย่างการใช้งาน ภาษา C เป็นยุคสมัยแห่งการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ได้รับความนิยมเนื่องจากความยืดหยุ่นสูงและสามารถใช้งานได้กับหลายแพลตฟอร์ม
ฟังก์ชันในภาษาซีมีกี่แบบ *
ในภาษาซี (C programming language) นั้นมีฟังก์ชันหลากหลายแบบที่นักพัฒนาสามารถใช้งานได้ แต่ละแบบจะมีลักษณะและวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันไป ในบทความนี้เราจะพาท่านไปสำรวจและศึกษาเกี่ยวกับแบบฟังก์ชันที่สำคัญและนิยมใช้ในภาษาซี
ฟังก์ชันเป็นบล็อกของโค้ดที่เขียนขึ้นเพื่อดำเนินการต่าง ๆ โดยฟังก์ชันในภาษาซีสามารถใช้ในการจัดการข้อมูลเชิงตัวเลข สตริง และอาร์เรย์ได้ แท้จริงแล้วฟังก์ชันในภาษาซีถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากสามารถสร้างฟังก์ชันที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเรียกใช้งานได้ตามความต้องการ
ในภาษาซีมีฟังก์ชันอยู่หลายแบบ เราจะมาศึกษาและวิเคราะห์แบบฟังก์ชันที่สำคัญมากที่สุด
1. **ฟังก์ชันที่ไม่มีการรับค่าตัวแปรและไม่มีการส่งค่ากลับ**: ฟังก์ชันแบบนี้ไม่มีการรับค่าตัวแปรเข้ามาภายในฟังก์ชัน และไม่ส่งค่ากลับออกมา ฟังก์ชันแบบนี้มักจะใช้ในการทำงานกับตัวแปรแบบ Global เพื่อประสานงานกับส่วนอื่น ๆ ของโปรแกรม
2. **ฟังก์ชันที่มีการรับค่าตัวแปรแต่ไม่มีการส่งค่ากลับ**: ในกรณีที่ฟังก์ชันต้องการรับค่าตัวแปรมาทำงานภายในฟังก์ชัน แต่ไม่ต้องการส่งค่ากลับมายังตัวเรียกใช้งาน ฟังก์ชันแบบนี้จะใช้งานเมื่อต้องการแทนที่ค่าตัวแปรที่ส่งเข้ามา หรือทำการเปลี่ยนแปลงค่าตัวแปรและส่งต่อให้ฟังก์ชันอื่น
3. **ฟังก์ชันที่ไม่มีการรับค่าตัวแปรแต่มีการส่งค่ากลับ**: ในกรณีที่ต้องการส่งค่ากลับออกมาเพื่อนำไปใช้งานที่ต้องการ ฟังก์ชันแบบนี้จะมาใช้งานบ่อย เช่น ฟังก์ชันที่คำนวณค่า Numerical หรือคำนวณตำแหน่งของตัวอักษรในสตริง เป็นต้น
4. **ฟังก์ชันที่มีการรับค่าตัวแปรและมีการส่งค่ากลับ**: ฟังก์ชันแบบนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากมีความสามารถในการรับและส่งค่ากลับได้พร้อมกัน ฟังก์ชันแบบนี้สามารถมีการคำนวณหรือประมวลผลที่ซับซ้อนได้ และสามารถนำผลลัพธ์ที่ได้ส่งคืนกลับให้กับตัวแปรหรือตัวภายนอกโปรแกรมได้
คำถามที่พบบ่อย
Q: ฟังก์ชันในภาษาซีสามารถเรียกใช้งานได้อย่างไร?
A: การเรียกใช้ฟังก์ชันในภาษาซีสามารถทำได้โดยระบุชื่อฟังก์ชันที่ต้องการเรียกใช้ตามด้วยวงเล็บและตัวอาร์กิวเมนต์ (ถ้ามี) ของฟังก์ชันนั้น ตัวอาร์กิวเมนต์ที่ถูกส่งให้กับฟังก์ชันจะสามารถเป็นประเภทตัวแปรใดก็ได้ตามที่ฟังก์ชันต้องการ
Q: ฟังก์ชันในภาษาซีสามารถรับค่าแบบไม่จำกัดได้หรือไม่?
A: ฟังก์ชันในภาษาซีสามารถรับค่าตัวแปรได้ตามความต้องการของโปรแกรม ซึ่งไม่มีการจำกัดว่าต้องรับค่าเข้ามาเท่าใด แต่ถ้าฟังก์ชันไม่ต้องการรับข้อมูลเข้ามา เราสามารถปล่อยวงเล็บว่างเปล่าได้
Q: ผมจะได้ประโยชน์อะไรจากการใช้ฟังก์ชันในภาษาซี?
A: การใช้ฟังก์ชันในภาษาซีจะช่วยให้คุณสามารถออกแบบและสร้างโปรแกรมที่ซับซ้อนและยืดหยุ่นได้ เพิ่มความเร็วในการพัฒนาโปรแกรม และให้ความสามารถในการทำงานกับข้อมูลตามความต้องการของคุณ
ในสรุป ฟังก์ชันในภาษาซีมีหลายแบบที่นักพัฒนาสามารถใช้งานได้ แต่ละแบบมีลักษณะและการทำงานที่แตกต่างกัน โดยฟังก์ชันในภาษาซีสามารถมีการรับค่าตัวแปร ส่งค่ากลับ หรือทั้งคู่ก็ได้ ความยืดหยุ่นในการใช้งานทำให้ฟังก์ชันในภาษาซีเป็นที่นิยมและเป็นที่ต้องการของนักพัฒนาโปรแกรมอย่างสูง
อ้างอิง:
– https://www.learn-c.org/
– https://www.cprogramming.com/
คำผิดปกติ: ฟังก์ชันภาษาซี
ดูเพิ่มเติมที่นี่: themtraicay.com
การเขียนฟังก์ชัน C++
ภาษา C++ เป็นภาษาโปรแกรมที่นิยมและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในวงกว้างของการพัฒนาซอฟต์แวร์ การใช้งานฟังก์ชันในภาษา C++ เป็นสิ่งสำคัญเพื่อจัดเรียงโค้ดและทำให้โปรแกรมง่ายต่อการอ่านและการบำรุงรักษา ในบทความนี้เราจะพาคุณเข้าสู่โลกของการเขียนฟังก์ชันใน C++ ในลักษณะที่น่าสนใจ และเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการใช้และประยุกต์ใช้ฟังก์ชันอย่างมีประสิทธิภาพในโปรแกรมของคุณ
โครงสร้างพื้นฐานของฟังก์ชัน C++
ในภาษา C++ คุณสามารถสร้างฟังก์ชันของคุณเองโดยมีรูปแบบเบื้องต้น รูปแบบพื้นฐานของฟังก์ชันใน C++ ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้:
“`cpp
<ค่าส่งกลับ> <ชื่อฟังก์ชัน>(<พารามิเตอร์>) {
// โค้ดของฟังก์ชัน
return <ค่าส่งกลับ>;
}
“`
– `<ค่าส่งกลับ>`: เป็นชนิดข้อมูลที่ฟังก์ชันต้องการส่งกลับหลังจากการประมวลผล ฟังก์ชันสามารถไม่ต้องมีค่าส่งกลับหากไม่จำเป็น
– `<ชื่อฟังก์ชัน>`: ชื่อที่คุณให้กับฟังก์ชันของคุณ ชื่อต้องนำตัวพิมพ์ใหญ่หรือตัวพิมพ์เล็กก็ได้
– `<พารามิเตอร์>`: คือข้อมูลที่ฟังก์ชันใช้ในการทำงาน อาจจะมีหรือไม่มีพารามิเตอร์ก็ได้
โดยอาจมีบางครั้งที่คุณอาจต้องประกาศว่าฟังก์ชันหนึ่งใช้งานภายใต้ฟังก์ชันอื่น ซึ่งถือเป็นการเขียนฟังก์ชันแบบซ้อน (Nested Functions) ซึ่งสามารถทำได้ใน C++ โดยมีลักษณะดังนี้:
“`cpp
<ค่าส่งกลับ> <ฟังก์ชันแม่>(<พารามิเตอร์>) {
<ค่าส่งกลับ> <ฟังก์ชันซ้อน>(<พารามิเตอร์>) {
// โค้ดของฟังก์ชันด้านใน
return <ค่าส่งกลับ>;
}
// โค้ดของฟังก์ชันแม่
return <ค่าส่งกลับ>;
}
“`
การเรียกใช้งานฟังก์ชัน C++
เมื่อคุณกำหนดรูปแบบของฟังก์ชันของคุณแล้ว หลังจากนั้นคุณสามารถเรียกใช้งานฟังก์ชันได้ดังนี้:
“`cpp
<ชื่อฟังก์ชัน>(<พารามิเตอร์>);
“`
โดยที่ `<ชื่อฟังก์ชัน>` เป็นชื่อของฟังก์ชันที่คุณต้องการเรียกใช้ และ `<พารามิเตอร์>` เป็นข้อมูลที่คุณต้องการส่งเข้าไปยังฟังก์ชัน โค้ดฟังก์ชันที่ถูกเขียนในส่วนที่เรียกใช้ฟังก์ชันจะถูกประมวลผลก่อนที่ส่วนที่เรียกฟังก์ชันจะทำงานต่อ
ตัวอย่างการเรียกใช้งานฟังก์ชัน C++:
“`cpp
int บวก(int a, int b) {
return a + b;
}
int main() {
int x = 5;
int y = 3;
int z = บวก(x, y);
// z จะมีค่าเท่ากับ 8
return 0;
}
“`
ในตัวอย่างข้างต้น เรามีฟังก์ชันที่ชื่อว่า `บวก` ซึ่งรับพารามิเตอร์สองตัว เราเรียกใช้ฟังก์ชัน `บวก(5, 3)` ในฟังก์ชัน `main` และเก็บผลลัพธ์ไว้ในตัวแปร `z` ซึ่งจะมีค่าเท่ากับ 8 สุดท้าย
การส่งค่ากลับจากฟังก์ชัน
บางครั้งคุณอาจต้องการให้ฟังก์ชันส่งค่ากลับมาหลังจากที่ทำงานเสร็จสิ้น ใน C++ คุณสามารถทำได้โดยใช้คีย์เวิร์ด `return` ซึ่งกำหนดค่าที่คุณต้องการส่งกลับในคำสั่งนี้
ตัวอย่างเช่น:
“`cpp
int บวก(int a, int b) {
return a + b;
}
int main() {
int x = 5;
int y = 3;
int z = บวก(x, y);
// z จะมีค่าเท่ากับ 8
return 0;
}
“`
ในตัวอย่างข้างต้น เราใช้คีย์เวิร์ด `return` เพื่อส่งผลลัพธ์ของการบวก `a + b` จากฟังก์ชัน `บวก` กลับเป็นค่าของ `z` ในฟังก์ชัน `main`
ฟังก์ชันที่ไม่ส่งค่ากลับ
ภาษา C++ ยังสามารถประกาศฟังก์ชันที่ไม่จำเป็นต้องส่งค่ากลับได้อีกด้วย ทั้งนี้ คุณสามารถใช้คีย์เวิร์ด `void` เพื่อระบุว่าฟังก์ชันไม่ต้องการส่งค่ากลับ
ตัวอย่างการประกาศฟังก์ชันที่ไม่ส่งค่ากลับ:
“`cpp
void สวัสดี() {
cout << "สวัสดี";
}
int main() {
สวัสดี(); // พิมพ์ "สวัสดี" ออกทางหน้าจอ
return 0;
}
```
ในตัวอย่างข้างต้น เราประกาศฟังก์ชัน `สวัสดี` ที่ไม่ได้รับพารามิเตอร์และไม่ส่งค่ากลับ ในฟังก์ชัน `main` เราเรียกใช้ฟังก์ชัน `สวัสดี` เพื่อพิมพ์ข้อความ "สวัสดี" ออกทางหน้าจอ
ฟังก์ชันแบบหลายพารามิเตอร์
ในฟังก์ชัน C++ คุณสามารถประกาศพารามิเตอร์มากกว่าหนึ่งตัวได้ ซึ่งสามารถใช้ในการส่งข้อมูลให้กับฟังก์ชันเพื่อนำไปใช้ในการประมวลผล
ตัวอย่างการประกาศฟังก์ชันที่รับหลายพารามิเตอร์:
```cpp
int บวก(int a, int b, int c) {
return a + b + c;
}
int main() {
int x = 5;
int y = 3;
int z = 2;
int result = บวก(x, y, z);
// result จะมีค่าเท่ากับ 10
return 0;
}
```
ในตัวอย่างข้างต้น เราประกาศฟังก์ชันที่ชื่อว่า `บวก` ซึ่งรับพารามิเตอร์สามตัว เราเรียกใช้ฟังก์ชัน `บวก(5, 3, 2)` และในฟังก์ชัน `main` แล้วเก็บผลลัพธ์ลงในตัวแปร `result` ซึ่งจะมีค่าเท่ากับ 10
การโอเวอร์โหลดฟังก์ชัน (Function Overloading)
การโอเวอร์โหลดฟังก์ชันเป็นกระบวนการแบ่งตัวชนิดของพารามิเตอร์ในฟังก์ชันเพื่อให้สามารถใช้ชื่อเดียวกันแต่ฟังก์ชันที่แตกต่างกันในรูปแบบการทำงานของฟังก์ชันได้
ตัวอย่างการโอเวอร์โหลดฟังก์ชันใน C++:
```cpp
int บวก(int a, int b) {
return a + b;
}
double บวก(double a, double b) {
return a + b;
}
int main() {
int x = 5;
int y = 3;
double z = 2.5;
int result1 = บวก(x, y);
double result2 = บวก(z, z);
// result1 จะมีค่าเท่ากับ 8
// result2 จะมีค่าเท่ากับ 5.0
return 0;
}
```
ในตัวอย่างข้างต้น เราได้ประกาศฟังก์ชัน `บวก` สองรูปแบบ แต่งตัวแปรพารามิเตอร์มีชนิดข้อมูลที่แตกต่างกัน ในฟังก์ชัน `main` เราเรียกใช้ฟังก์ชัน `บวก` สองครั้ง รูปแบบที่แตกต่างกันเป็นเหตุที่ทำให้เราสามารถระบุฟังก์ชันที่ถูกเรียกใช้เวลาทำงาน
การโอเวอร์โหลดฟังก์ชันช่วยให้โปรแกรมมีความเข้าใจง่าย และยืดหยุ่นในการใช้งานฟังก์ชันตามความต้องการของโปรแกรมของคุณ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเขียนฟังก์ชัน C++
1. ฟังก์ชัน C++ สามารถเรียกใช้งานตัวเองได้หรือไม่?
- ใช่ นี่เรียกว่าการเรียกใช้งานฟังก์ชันแบบเรกурсีฟ (Recursion) คุณสามารถเรียกใช้ฟังก์ชันเองเพื่อทำงานที่ซับซ้อนได้ โดยต้องระมัดระวังและเช็คเงื่อนไขให้ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานไม่สิ้นสุด
2. ฟังก์ชัน C++ สามารถไม่ระบุชื่อพารามิเตอร์เมื่อเรียกใช้งานได้หรือไม่?
- ใช่ ในภาษา C++ คุณสามารถละชื่อพารามิเตอร์เมื่อเรียกใช้ฟังก์ชัน แต่คุณจะต้องใส่สิ่งที่ต้องการส่งเข้า
ฟังก์ชั่น C++ มีอะไรบ้าง
ภาษา C++ ถือเป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่เป็นที่นิยมอย่างมากในวงกว้างเนื่องจากความหลากหลายและความสามารถที่สูงที่มีให้รองรับแก่นักพัฒนาโปรแกรม ไม่ว่าจะเป็นในการพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ หรือการสร้างเกมคอมพิวเตอร์ที่อลังการ ก็ตามที่ใช้งานฟังก์ชั่นใน C++ หลากหลายและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายซึ่งสร้างความสะดวกสบายและความยืดหยุ่นในการเขียนโปรแกรม
ฟังก์ชั่นเป็นบล็อกของรหัสที่ถูกแยกทำให้เรียกใช้ได้ซ้ำ โดยที่แต่ละฟังก์ชั่นจะมีหน้าที่และประโยชน์ของตัวเองที่แตกต่างออกไป ในภาษา C++ นักพัฒนาสามารถสร้างฟังก์ชั่นที่แสดงพฤติกรรมและหน้าที่เฉพาะของตัวเองเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
เมื่อใช้งานฟังก์ชั่นใน C++ นักพัฒนาสามารถใช้งานหรือเรียกใช้งานฟังก์ชั่นในส่วนของโค้ดและโปรแกรมหลักได้ ทำให้มีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบในการจัดการรหัสโปรแกรมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างฟังก์ชั่นที่เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมหลักหรือเพื่อเรียกใช้งานฟังก์ชั่นที่อยู่ภายนอก ฟังก์ชั่นที่สร้างขึ้นสามารถรับค่าเข้า-ส่งค่าออก หรือไม่รับค่าเข้า-ไม่ส่งค่าออกก็ได้ ทำให้สามารถใช้งานจัดการข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่น
นอกจากนี้ฟังก์ชั่นในภาษา C++ ยังมีลักษณะการทำงานที่น่าสนใจเพิ่มเติม เช่น การลดการทำซ้ำในโค้ด ด้วยการสร้างฟังก์ชันสำหรับการกระทำที่ซ้ำซ้อน เราสามารถเรียกใช้ฟังก์ชั่นนั้น ๆ ในสถานการณ์ที่ต้องการบ่อย ๆ มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นอกจากนี้การกำหนดขอบเขต (scope) ในฟังก์ชั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่ช่วยให้การเขียนโค้ดเป็นระเบียบและชัดเจน โดยมีชีวิตชีวาภายในฟังก์ชั่นและชีวิตชีวาภายนอกฟังก์ชั่นไม่ส่งผลกระทบต่อกัน ฟังก์ชันอื่น ๆ ภายในโปรแกรม
บางครั้งเราอาจจะสังเกตเห็นสตริงหรือตัวแปรใหญ่ ๆ ที่ถูกเรียกใช้งานในโปรแกรมซ้ำๆ ซากๆ เพื่อให้รหัสน้อยลง เราสามารถสร้างฟังก์ชันเพื่อทำหน้าที่ในการช่วยในการสร้างรหัสที่สั้นและกระชับมากขึ้น
ใน C++ นอกจากฟังก์ชั่นที่มีอยู่ตามที่กล่าวมาแล้ว ยังมีฟังก์ชั่นพื้นฐานอื่น ๆ ที่นักพัฒนาสามารถใช้งานได้อีกมากมาย เช่น ฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์เช่น sqrt() (การคำนวณรากที่สอง), pow() (การยกกำลัง), และ fabs() (การหาค่าสัมบูรณ์) ฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการอาร์เรย์เช่น sort() (การเรียงลำดับ), reverse() (การกลับลำดับ), และ find() (การค้นหา) และอีกมากมาย
FAQs (คำถามที่พบบ่อย)
1. ทำไมต้องใช้ฟังก์ชั่นในภาษา C++?
ฟังก์ชั่นในภาษา C++ ช่วยให้นักพัฒนาโปรแกรมเขียนโค้ดได้อย่างสั้นและกระชับมากขึ้น และช่วยจัดการรหัสโปรแกรมให้เป็นระเบียบและน่าอ่านยิ่งขึ้น
2. แบบฟังก์ชั่นในภาษา C++ มีอยู่กี่ประเภท?
ในภาษา C++ มีแบบฟังก์ชั่นหลายประเภท เช่น ฟังก์ชั่นที่รับค่าเข้า-ส่งค่าออก ฟังก์ชั่นที่ไม่รับค่าเข้า-ส่งค่าออก และฟังก์ชั่นที่ไม่รับค่าเข้า-ไม่ส่งค่าออก
3. สามารถสร้างฟังก์ชั่นเองในภาษา C++ ได้หรือไม่?
ใช่สามารถสร้างฟังก์ชั่นขึ้นเองในภาษา C++ ได้ นักพัฒนาสามารถกำหนดหน้าที่และพฤติกรรมของฟังก์ชั่นตามที่ต้องการ
4. ควรใช้ฟังก์ชั่นใน C++ อย่างไร?
เราควรใช้ฟังก์ชั่นใน C++ เมื่อมีรหัสโปรแกรมที่ทำงานซ้ำซ้อนหรือเป็นรูปแบบเดียวกันในหลาย ๆ ส่วนของโปรแกรม การสร้างฟังก์ชั่นจะช่วยลดความซับซ้อนในการทำซ้ำและทำให้โค้ดมีความสามารถในการใช้งานที่ยืดหยุ่นและเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น
5. ฟังก์ชั่น C++ สามารถรับค่าพารามิเตอร์เข้ามาได้หรือไม่?
ใช่ ฟังก์ชั่น C++ สามารถรับค่าพารามิเตอร์เข้ามาและนำไปประมวลผลต่อได้ ซึ่งพารามิเตอร์เหล่านี้สามารถเป็นตัวแปรใด ๆ ที่เขียนไว้ในโปรแกรม
สรุป
ในภาษา C++ ฟังก์ชั่นเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการเขียนโปรแกรม นักพัฒนาสามารถใช้งานหรือสร้างฟังก์ชั่นขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและภารกิจต่าง ๆ ในโปรแกรมของตนได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ฟังก์ชั่นใน C++ มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป และใช้สำหรับการทำงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในการคำนวณทางคณิตศาสตร์ การจัดการอาร์เรย์ หรือการสร้างฟังก์ชันที่ช่วยในการทำงานซ้ำซ้อนในโปรแกรม และยังมีโครงสร้างในภาษา C++ ที่ช่วยในการบริหารจัดการขอบเขตของฟังก์ชันให้มีความเป็นระเบียบและชัดเจนยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามในการใช้งานฟังก์ชั่นในภาษา C++ ควรทำความเข้าใจในหลักสำคัญของฟังก์ชั่นต่าง ๆ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในโค้ดของตนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ฟังก์ชันพื้นฐานการเขียนโปรแกรมภาษา C
การเขียนโปรแกรมภาษา C เป็นหนึ่งในการเขียนโปรแกรมแบบเป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างมาก มีความสามารถในการจัดการและควบคุมทรัพยากรระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาษา C เกิดขึ้นประมาณปี 1969 โดยเดนนิส ริชี้ และ เบอร์ต้าน คานิงแฮม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาภาษาเชิงโครงสร้าง (structured programming language) โดยได้แรงบันดาลใจมาจากภาษา ALGOL 60 และ BCPL อาศัยภาษาฮาร์ดแวร์ (Hardware Language) เป็นต้น
ฟังก์ชันพื้นฐานของภาษา C สามารถแบ่งออกเป็นหลายๆ กลุ่มตามลักษณะการใช้งาน โดยมีบางฟังก์ชันที่ทุกๆ โปรแกรมเขียนภาษา C จำเป็นต้องมี เพื่อใช้ในกระบวนการพัฒนาโค้ด ออกแบบไลบรารี่ (Library) และ การใช้งานกับฐานข้อมูล หรือปฏิบัติการอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถควบคุมและเรียกใช้งานทรัพยากรต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเรามาดูกันบางฟังก์ชันที่สำคัญที่สุดในภาษา C นี้
1. printf(): เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการแสดงผลข้อความออกทางหน้าจอ โดยสามารถแสดงข้อความที่กำหนดได้ในรูปแบบต่างๆ เช่น ข้อความประกอบด้วยข้อความและตัวแปร
2. scanf(): เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการรับค่าจากผู้ใช้ผ่านทางคีย์บอร์ด โดยสามารถรับค่าข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ได้ เช่น ข้อมูลชนิดตัวเลข ข้อความ หรืออักขระพิเศษ
3. atoi(): เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการแปลงข้อความ (string) เป็นตัวเลข (integer) ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการคำนวณหรือจัดการกับตัวเลขสามารถใช้ได้ง่าย
4. atof(): เป็นฟังก์ชันที่มีลักษณะคล้ายกับ atoi() แต่เป็นการแปลงข้อความให้เป็นตัวเลขทศนิยม (float) แทน
5. strcpy(): เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับการคัดลอกข้อความ (string) จากตัวแปรที่หนึ่งไปยังอีกตัวแปรหนึ่ง การใช้ฟังก์ชันนี้จำเป็นสำหรับการจัดการกับข้อความในภาษา C
6. strcat(): เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการนำสองข้อความ (string) มาต่อกัน ซึ่งการใช้ฟังก์ชันนี้มีประโยชน์ในกระบวนการเชื่อมโยงข้อความ
7. strlen(): เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการนับจำนวนตัวอักษร (character) ที่อยู่ในข้อความ (string) โดยการใช้ฟังก์ชันนี้มีประโยชน์ในการควบคุมและจัดการกับข้อความ
8. exit(): เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการออกจากโปรแกรม โดยทุกๆ โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา C จำเป็นต้องมีการใช้ฟังก์ชันนี้เสมอ เพื่อให้คืนค่าและออกจากโปรแกรมได้อย่างถูกต้อง
เมื่อทราบเรื่องความสำคัญของฟังก์ชันพื้นฐานที่บทเรากล่าวมา จะมีบางคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมภาษา C มาเป็นส่วนท้ายของบทความเพื่อให้คนอ่านได้อ่านแล้วได้อธิบายมากยิ่งขึ้น ต่อไปคือหลายๆ คำถามที่อาจเกิดขึ้นในเรื่องการเขียนโปรแกรมภาษา C
คำถามที่ 1: ฟังก์ชันที่ว่า write() และ printf() ต่างกันอย่างไร?
คำตอบ: ฟังก์ชัน write() เป็นฟังก์ชันพื้นฐานในระบบปฏิบัติการ สามารถใช้ในการเขียนข้อมูลออกไปยังไฟล์หรืออุปกรณ์ที่กำหนด ในขณะที่ฟังก์ชัน printf() เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการแสดงผลข้อความบนหน้าจอ แต่สามารถใช้งานได้ง่ายกว่าฟังก์ชัน write() โดยไม่ต้องกำหนดไฟล์หรืออุปกรณ์ที่เขียนข้อมูลไว้
คำถามที่ 2: ฟังก์ชัน strlen() และ sizeof() ต่างกันอย่างไร?
คำตอบ: ฟังก์ชัน strlen() ใช้สำหรับการนับจำนวนตัวอักษรที่อยู่ในข้อความ (string) ซึ่งจะนับตัวอักษรที่อยู่ในชุดข้อความจริงๆ โดยที่ไม่รวมตัวอักษร null character (‘\0’) ซึ่งถือเป็นสิ้นสุดของชุดข้อความ
ฟังก์ชัน sizeof() ซึ่งใช้ในการคืนค่าขนาดของประเภทข้อมูลหรือตัวแปรที่กำหนด เช่นในกรณีของ sizeof(int) ฟังก์ชันนี้จะคืนค่าเป็นขนาดของตัวแปรที่เก็บชนิดข้อมูล int ในหน่วยบิต
คำถามที่ 3: เมื่อใดและทำไมสามารถใช้ #include
คำตอบ: คำสั่ง #include
และนี่ก็เป็นบทความเกี่ยวกับฟังก์ชันพื้นฐานการเขียนโปรแกรมภาษา C พร้อมกับคำถามและคำตอบที่พบบ่อย สิ่งที่เราได้เรียนรู้ในบทความนี้คือฟังก์ชันพื้นฐานภาษา C ที่ใช้ในระบบปฏิบัติการและในกระบวนการสร้างทรัพยากรต่างๆ อีกทั้งยังได้เสริมความเข้าใจด้วยคำถามและคำตอบที่มักจะพบเจอในการเขียนโปรแกรมภาษา C ของเราไปด้วย
พบ 22 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ ฟังก์ชันในภาษา c.




























![ตอนที่ 17] ฟังก์ชันสร้างเอง (User Define Function) ในภาษา C - YouTube ตอนที่ 17] ฟังก์ชันสร้างเอง (User Define Function) ในภาษา C - Youtube](https://i.ytimg.com/vi/ECZuhAXFtDA/maxresdefault.jpg)


















ลิงค์บทความ: ฟังก์ชันในภาษา c.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ ฟังก์ชันในภาษา c.
- ฟังก์ชัน การสร้างและการใช้งานฟังก์ชันในภาษา C – MarcusCode
- ฟังก์ชันในภาษาซี Function in C Language
- ::บทเรียนที่ 8 ฟังก์ชัน (Function)::
- C – Functions (ฟังก์ชั่น) – สอนเขียนโปรแกรม ภาษา C
- ฟังก์ชัน (Function) – Thanakrit Online – โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย
- ใบความรู้ที่ 2 ฟังก์ชันในภาษาซี 2
- แนวคิดในการเขียนโปรแกรม
- ใบความรู้เรื่อง โครงสร้างภาษาซี – โรงเรียน ศรีอยุธยา
- ใบความรู้ที่ 2 ฟังก์ชันในภาษาซี 2
- 4.ฟังก์ชันในภาษาซี – SlideShare
- ฟังก์ชันของภาษา c – วิชากลุ่มคอมพิวเตอร์
- ฟังก์ชั่นใน C – Go Coding
- C Programming : เขียนโปรแกรมภาษา C แบบพื้นฐาน ตอนที่ 5
- บทที่8 ฟังก์ชัน (Function)
ดูเพิ่มเติม: https://themtraicay.com/category/facts-first